แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 24
1
Mitsubishi Triton 2024: มิตซูบิชิ Mitsubishi Triton Double Cab 2.4 Plus PRIME AT ปี 2023
938,000 บาท

มิตซูบิชิ Mitsubishi Triton Double Cab 2.4 Plus PRIME AT ปี 2023
MITSUBISHI TRITON DOUBLE 2.4 PRIME AT ตัวถังดีไซน์ใหม่!เมกาเฟรม (Mega Frame) ใหญ่ขึ้น และแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม เครื่องยนต์ใหม่ ไฮเปอร์เพาเวอร์ กำลังสูงสุด 135 กิโลวัตต์ (184 PS) แรงบิดสูงสุด 430 นิวตันเมตร เทอร์โบแปรผัน VG Turbo ช่วงล่างใหม่ เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด

รายละเอียดเบื้องต้น
   แบรนด์              Mitsubishi
   รุ่น                    มิตซูบิชิ Mitsubishi Triton Double Cab 2.4 Plus PRIME AT ปี 2023
   ประเภทรถ          รถกระบะ 4 ประตู
   ปีที่เปิดตัว            2023
   ราคา                 938,000 บาท

ดีไซน์
   ภายนอก
ล้อแม็ก (17 นิ้ว)
กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยว (LED)
ไฟตัดหมอก (LED)
ไฟหน้า LED
ไฟท้าย LED

   ภายใน
เบาะคนขับปรับสูง-ต่ำได้
ตกแต่งภายใน (ซาตินโครม)
พวงมาลัยหุ้มหนัง
พวงมาลัยปรับสูง-ต่ำได้ (เข้า-ออก)
กระจกมองหลังตัดแสง (อัตโนมัติ)
อุปกรณ์ภายในอื่นๆ (หน้า USB-C / USB-A หลัง USB-C / USB-A)
ระบบปรับรูปแบบการขับขี่ (7 โหมด ครอบคลุมการขับขี่ทั้งแบบออนโรด และแบบออฟโรด โหมดการขับขี่ Normal (ทั่วไป) และแบบ Eco (ประหยัด) Gravel (ทางลูกรัง) Snow (ถนนลื่น พื้นปกคลุมด้วยหิมะ หรือขณะฝนตกหนัก) Mud (ลุยโคลน) Sand (พื้นทราย) Rock (พื้นหินตะปุ่มตะป่ำ))

สเปค
   เครื่องยนต์          เครื่องยนต์คลีนดีเซลไฮเปอร์เพาเวอร์ (Hyper Power Engine) เทอร์โบแปรผัน VG Turbo กำลังสูงสุด 135 กิโลวัตต์ หรือ 184 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 430 นิวตันเมตร
   ขนาดเครื่องยนต์ (CC)       2,442 CC
   กำลังเครื่องยนต์ (แรงม้า)   184 แรงม้า
   ระบบเกียร์                      เกียร์ออโต้ 6AT
   รูปแบบเกียร์
   ระบบเบรค ABS                มี (EBD/BA)
   ประเภทน้ำมันเชื้อเพลิง         ดีเซล, B7
   ความจุถังน้ำมัน (ลิตร)        75 ลิตร
   ระบบจ่ายน้ำมัน                คอมมอนแรล
   น้ำหนักตัวรถ                    -
   ประเภทยางรถยนต์             -
   ขนาดล้อ (นิ้ว)
   ระบบขับเคลื่อน               ขับเคลื่อนล้อหลัง

ระบบความปลอดภัยระบบความปลอดภัย

อุปกรณ์ความปลอดภัย
ระบบควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ (ASC/TCL/Active Yaw Control: AYC)
ตัวถังนิรภัย
ระบบกระจายแรงเบรก EBD
คานเหล็กเสริมนิรภัย
อื่นๆ (ระบบเตือนการชนด้านหน้าตรง พร้อมระบบช่วยชะลอความเร็ว (Forward Collision Mitigation system: FCM), เตือนจุดอับสายตา (Blind Spot Warning: BSW) พร้อมระบบสัญญาณเตือนขณะเปลี่ยนเลน (Lane Change Assist: LCA))
กล้อง (ขณะถอยหลัง)
เทคโนโลยีตรวจจับวัตถุด้านหลังรถขณะถอย (Rear Cross Traffic Alert - RCTA)
เทคโนโลยีช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน HSA
จุดยึดเบาะนั่งสำหรับเด็ก

2
จัดฟันเด็ก สามารถแก้ไขปัญหาฟันในเรื่องใดได้บ้าง

เด็กหลายคนมักจะต้องเคยเข้ารับการถอนฟันน้ำนมตั้งแต่เด็กๆ ซึ่งหลายคนอาจจะมีประสบการณ์เกี่ยวกับการรักษาฟันที่ไม่ค่อยดีนัก เพราะด้วยความเจ็บปวดที่จะต้องเจอในระหว่างการรักษา จึงทำให้เด็กๆอาจจะกลัวการเข้าพบทันตแพทย์ ทำให้ไม่อยากที่เข้ารับการตรวจฟัน และเมื่อปล่อยไว้เป็นเวลานาน ก็อาจจะทำให้เกิดปัญหาอื่นๆตามมามากมาย จนอาจจะรุนแรงถึงขั้นเกิดการสูญเสียฟันไปเลยทีเดียว ซึ่งถ้าหากปัญหาฟันเกิดมีความร้ายแรงถึงขั้นสูญเสียฟันแล้ว ก็อาจจะเกิดปัญหาและผลกระทบต่อฟันบริเวณข้างเคียงได้ และส่งผลต่อฟันซี่อื่นๆ อาจจะทำให้เกิดอาการฟันล้ม ฟันห่าง ฟันซ้อนเกได้

ดังนั้น การดูแลรักษาความสะอาดของช่องปากและฟัน ถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมากที่สุด นอกจากจะเป็นการดูแลสุขภาพช่องปากและฟัน ยังสามารถทำให้เรามีบุคลิกภาพที่ดี มีรอยยิ้มที่สดใสได้ การจัดฟันในเด็ก ไม่แม้แต่เป็นการช่วยส่งเสริมในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟัน แต่ยังช่วยปรับโครงสร้างของใบหน้าของเด็กให้อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง ช่วยแก่ไขปัญหาในเรื่องของกระดูกขากรรไกรได้ด้วย เรียกว่า ได้ผลการรักษาที่มากกว่าการจัดฟันแน่นอน พ่อแม่ผู้ปกครอง หลายท่านอาจจะยังไม่ทราบว่า การจัดฟันในเด็กนั้นมีประโยชน์ต่อบุตรหลานของท่านอย่างไรบ้าง ซึ่งวันนี้ทางคลินิกเราจะมาพูดถึงเรื่องของการจัดฟันในเด็ก ว่าสามารถแก้ไขปัญหาฟันในเรื่องใดได้บ้าง เพื่อที่จะได้ช่วยตัดสินใจในการพาบุตรหลานของท่านเข้ามารับการรักษาด้วยการจัดฟันในเด็ก เพื่อแก้ไขปัญหาฟันในระยะยาวได้

ต้องอธิบายก่อนว่า ปัญหาของฟันในวัยเด็กนั้น ที่มักจะพบได้บ่อยก็คือ ปัญหาการสบฟันที่ผิดปกติ ซึ่งการจัดฟันในเด็กสามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้ ปัญหาการสบฟันที่ผิดปกตินั้น คือลักษณะฟันที่มีความเบี่ยงเบนไปจากปกติเท่านั้น ซึ่งอาจจะผิดปกติมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ดังนั้น การมีการสบฟันผิดปกติจึงไม่มีความจำเป็นต้องรักษาทุกกรณี ซึ่งผลของการสบฟันผิดปกติสามารถส่งผลต่อสุขภาพช่องปาก อาจจะทำให้เกิด โรคฟันผุ โรคเหงือกอักเสบ โรคปริทันต์ หรือส่งผลต่อสุขภาพทั่วไป เช่น ผลต่อระบบการบดเคี้ยวอาหาร ผลต่อข้อต่อขากรรไกร

นอกจากนี้ การสบฟันผิดปกติยังมีผลต่อสภาวะจิตใจทำให้ขาดความเชื่อมั่นในการเข้าสังคมได้ แต่ในวัยเด็กนั้น การสบฟันที่ผิดปกติ อาจจะก่อให้เกิดฟันผุได้ง่าย เพราะจะสามารถทำความสะอาดได้ยากและอาจจะส่งผลต่อการบดเคี้ยวอาหาร ในด้วยฟันของเด็กนั้น สามารถเข้ารับการจัดฟันได้ตั้งแต่อายุ 7-15 ปี และสามารถรักษาได้อย่างเต็มที่และได้ผลดีกว่าการจัดฟันตอนโต ดังนั้น ในเรื่องของการสบฟันที่ผิดปกติในเด็ก ก็สามารถแก้ไขได้ด้วยการจัดฟันในเด็ก

ต่อมาในเรื่องของฟันห่าง ฟันซ้อนเก ก็สามารถแก้ไขได้ด้วยการจัดฟัน เพราะเครื่องมือการจัดฟันนั้น จะช่วยทำให้ฟันเคลื่อนตัวไปยังตำแหน่งที่เหมาะสมและที่ทันตแพทย์ได้วางแผนการรักษาเอาไว้ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นปัญหาในเรื่องของฟันซ้อนเก ฟันห่าง การเข้ารับการรักษาด้วยการจัดฟันในเด็ก ก็จะสามารถแก้ไขได้ตั้งแต่อายุยังน้อย โดยไม่ต้องรอให้เข้าสู่ช่วงของวัยรุ่น แต่ในวัยเด็กนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองก็ควรที่จะพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการตรวจช่องปากและฟันกับทันตแพทย์อย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง เพื่อที่จะได้ตรวจช่องปากและฟันอย่างละเอียด ถ้าหากมีสัญญาณของปัญหาฟัน ก็จะสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็ว

หากพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใด สนใจพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการรักษาด้วยการจัดฟันในเด็ก สามารถพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการตรวจฟันกับทันตแพทย์ที่คลินิกได้ทางเรามีทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญคอยให้คำปรึกษาและแนะนำวิธีการรักษาอย่างถูกต้องเพื่อที่จะให้บุตรหลานของท่านมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี และยังสามารถช่วยแนะนำวิธีการดูแลรักษาความสะอาดของช่องปากและฟันได้ เพื่อที่จะได้ตระหนักถึงเรื่องของการดูแลเอาใจใส่ในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟัน เพื่อที่จะเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี

3
วัดถ้ำน้ำ เที่ยววัดที่ราชบุรี ชมถ้ำสวย สักการะไหว้พระ สุดอันซีน

ได้เวลาไปเที่ยวธรรมชาติแล้ว ถ้าอยากไปไม่ไกลจากกรุงเทพ ก็มาที่นี่ได้เลย ราชบุรี แหล่งธรรมชาติสวยๆ มากมาย หนึ่งในนั้นก็คือ วัดถ้ำน้ำ ที่เที่ยวสวยๆ จาก อำเภอโพธาราม เป็นบริเวณของถ้ำ ที่มีน้ำอยู่ภายใน ซึ่งมีให้ชมกันตลอดทั้งปีเลยค่ะ มาเลยย มาเที่ยวถ้ำแห่งนี้กันดีกว่าทุกคนน

ไฮไลท์ ของ วัดถ้ำน้ำ

     วัดถ้ำน้ำ ตั้งอยู่ที่ ตำบลนางแก้ว อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี ภายในวัดแห่งนี้ จะมี ถ้ำน้ำ ถ้ำที่มีน้ำอยู่ด้านในแทบจะทั้งพื้นที่ โดยน้ำที่ไหลเข้ามานี้ เป็นน้ำที่ไหลมาจาก ปล่องน้ำ ใกล้ๆ วัดนั่นเองค่ะ ในน้ำจะมีพันธุ์ปลาน้ำจืดอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ถ้ามาในช่วงหน้าน้ำเราก็จะเจอน้ำที่สูงมากภายในถ้ำ ส่วนในช่วงหน้าแล้งน้ำจะลดลงมาหน่อย แต่ก็ยังคงมีน้ำอยู่ในถ้ำตลอดๆ ค่ะ

     บรรยากาศภายใน ถ้ำน้ำ นั้น ก็นับว่ามีความเย็นสบายสุดๆ มีลมพัดผ่าน มีทางเดินไว้สำหรับชมหินงอกหินย้อนภายในถ้ำด้วย รวมถึงพระพุทธรูปที่ประดิษฐานอยู่ภายในถ้ำมากมาย สามารถเข้าชมได้เลยค่ะ ซึ่งแม้ว่าภายในถ้ำจะมีความมืด แต่ก็ได้แสงไฟที่เปิดไว้ตามทางช่วยให้มองเห็นทางเดิน และมีพระภิกษุที่คอยดูแลอยู่ภายในถ้ำด้วยค่ะ

     แต่อีกไฮไลท์ของ วัดถ้ำน้ำ ก็คือ เสาหิน ที่ตั้งอยู่บริเวณกลางถ้ำ ว่ากันว่าเกิดจากการที่น้ำบนเพดานถ้ำหยดลงมา ทำให้กลายเป็นเสาหินงอกหินย้อยขนาดใหญ่นั่นเอง  รวมถึงจุดอื่นๆ ภายในถ้ำอย่าง บ่อน้ำมีรูปปั้นของพญานาคอยู่ในน้ำ พระพุทธรูปและสิ่งศักดิ์สิทธิ์  ทั้ง พระพุทธรูป พระสิวลี  รูปปั้นฤาษี  เจ้าแม่กวนอิม เป็นต้น

     ใครแวะเวียนไปเที่ยว โพธาราม จังหวัดราชบุรี ก็อย่าลืมไปชมธรรมชาติสวยๆ สักกาะไหว้ขอพรองค์พระกันที่ วัดถ้ำน้ำ ได้เลยค่ะ เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในความสวยงามของถ้ำธรรมชาติ ที่น่าไปชมอย่างมากจริงๆ ทั้งยังมีลิงอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากที่บริเวณเขาด้วย รวมถึงวิวภายนอกก็งดงามไม่เกินใครมาก ต้องไม่พลาดแล้วค่ะ
ข้อมูล วัดถ้ำน้ำ ราชบุรี

    ที่อยู่ : ตำบลนางแก้ว อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี
    เปิดให้เข้าชม : 08.30-17.00 น.
    เว็บไซต์ : -


4
คอนโดติดรถไฟฟ้า ดิ ออริจิ้น อ่อนนุช (The Origin Onnut)
เริ่มต้น 1.79 ลบ.

ดิ ออริจิ้น อ่อนนุช (The Origin Onnut)
คอนโดติดถนนอ่อนนุช ใกล้รถไฟฟ้าสถานีอ่อนนุช ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของคนเมือง ได้ความเป็นส่วนตัวเพียง 399 ยูนิต ใกล้ร้านสะดวกซื้อ เซเว่น อีเลฟเว่น, ใกล้ห้างสรรพสินค้า MAKRO, BIG C และใกล้สถาบันการศึกษา BANGKOK PREP SCHOOL

 รายละเอียดโครงการ
 ชื่อโครงการ           ดิ ออริจิ้น อ่อนนุช (The Origin Onnut)
 เจ้าของโครงการ      ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้
 แบรนด์ย่อย            ดิ ออริจิ้น
 ราคา                   เริ่มต้น 1.79 ลบ.
 ราคาเฉลี่ยต่อตร.ม.    เริ่มต้น 60,000 บ./ตร.ม.
 ลักษณะทำเล          คอนโดย่านธุรกิจกลางเมือง, คอนโดใกล้ขนส่งสาธารณะ
 ความสูงคอนโด        Low Rise (ไม่เกิน 8 ชั้น)
 ลักษณะกรรมสิทธิ์      โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ประเภทห้องที่มี        1 ห้องนอน
 ขนาดห้องที่มี          ตั้งแต่ 21.50 ถึง 34.00 ตร.ม.
 เนื้อที่ทั้งหมด           2 ไร่ 3 งาน 23 ตร.ว.
 จำนวนตึก             2 อาคาร
 จำนวนชั้น             8 ชั้น
 จำนวนห้อง           399 ยูนิต และร้านค้า 3 ยูนิต
 ที่จอดรถทั้งหมด     35% รวมจอดซ้อนคัน
 ค่าบำรุงส่วนกลาง    โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 สาธารณูปโภค        สระว่ายน้ำ, ฟิตเนส, รปภ., กล้องวงจรปิดโครงการ, รถรับส่ง, ร้านค้า, อื่นๆ (Lobby, Observation Deck, Co-Passion Space, Pocket Garden, Pool Lounge, Sky Garden), Co-Working Space

 สถานที่ใกล้เคียง
 โซน      ประเวศ, พระโขนง, สวนหลวง
 ที่ตั้ง      ซอยสุขุมวิท 77 ถนนอ่อนนุช แขวงสวนหลวง เขตสวนหลวง กทม.

 ขนส่งสาธารณะ
รถไฟฟ้า:              ใกล้รถไฟฟ้า, รถไฟฟ้าสายสีเขียวเข้ม, สถานีหมอชิต - แบริ่ง(อ่อนนุช)

 สถานที่สำคัญใกล้เคียง
บี๊กซี เอ็กซ์ตร้า อ่อนนุช
ฮาบิโตะ มอลล์
เทสโก้ โลตัส สุขุมวิท 50
เซ็นจูรี่ เดอะมูฟวี่พลาซ่า
พีเพิลพาร์ค อ่อนนุช
แม็คโคร ฟูดเซอร์วิส สาขาอ่อนนุช
ซีคอนสแควร์ ศรีนครินทร์
โรงเรียนนานาชาติบางกอกเพรพ
โรงเรียนนานาชาติเวลส์ อ่อนนุช

5
แนะนำใส่ชุดขาวเข้าร่วมปฏิบัติธรรมทางพุทธศาสนาส่งเสริมความแจ่มใสทางจิตใจ

วัดเกาะวาลุการามเป็นวัดเก่าแก่และสำคัญแห่งหนึ่งของจังหวัดลำปาง มีประวัติความเป็นมายาวนานกว่า 130 ปี ตั้งอยู่ในตำบลสวนดอก อำเภอเมืองลำปาง ติดกับถนนคนเดินกาดกองต้า ทำให้เดินทางไปมาสะดวกและเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติใส่ชุดขาว ชุดขาวชาย ชุดขาวหญิง ชุดขาวปฏิบัติธรรม มาเที่ยววัดเกาะวาลุการามล้อมรอบไปด้วยต้นไม้เขียวขจีและขุนเขาอันสง่างาม

วัดเกาะวาลุการามสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2430 เดิมทีบริเวณนี้เป็นเกาะกลางแม่น้ำวัง จึงเป็นที่มาของชื่อ “วัดเกาะ” ต่อมามีการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม ทำให้เกาะเชื่อมติดกับแผ่นดิน ปัจจุบันวัดเกาะวาลุการามเป็นวัดราษฎร์ สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อ พ.ศ. 2449

วัดเกาะวาลุการามตั้งอยู่ในชนบทอันเงียบสงบของจังหวัดลำปางเป็นสถานที่พักผ่อนอันเงียบสงบสำหรับผู้ที่ต้องการปฏิบัติธรรมและสัมผัสกับธรรมชาติ วัดแห่งนี้มีสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบและบรรยากาศทางจิตวิญญาณ จึงเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการไตร่ตรอง ทำสมาธิ และเติบโตในตนเอง ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ปฏิบัติธรรมที่มีประสบการณ์หรือเพิ่งมาเรียนรู้คำสอนของพระพุทธศาสนา วัดเกาะวาลุการามก็เป็นสถานที่ที่น่าต้อนรับสำหรับการเดินทางทางจิตวิญญาณของคุณ

สิ่งที่น่าสนใจภายในวัด
พระพุทธรูปสำคัญ: ภายในวัดประดิษฐานพระพุทธรูปสำคัญหลายองค์ เช่น พระพุทธรูปไสยาสน์ (พระนอน) ซึ่งเป็นที่เคารพสักการะของพุทธศาสนิกชน
มณฑปครอบฝ่าพระพุทธบาทจำลองสี่รอย: สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2467 โดยจำลองมาจากเมืองมัณฑเลย์ ประเทศพม่า เป็นอีกหนึ่งจุดสำคัญที่ผู้คนนิยมมาสักการะ
สถาปัตยกรรม: ภายในวัดมีการผสมผสานสถาปัตยกรรมที่หลากหลาย ทั้งไทย จีน และพม่า สะท้อนให้เห็นถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรมในอดีต
บรรยากาศริมแม่น้ำวัง: ด้านหลังวัดติดกับแม่น้ำวัง ทำให้มีบรรยากาศที่ร่มรื่นและสวยงาม เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจและให้อาหารปลา

การเดินทางสู่ความสงบ
วัดเกาะวาลุการามตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำหวาง ล้อมรอบไปด้วยต้นไม้เขียวขจีและขุนเขาอันสง่างาม บริเวณวัดเป็นสถานที่พักผ่อนจากความวุ่นวายในชีวิตประจำวัน เป็นสถานที่ให้ผู้มาเยือนได้ผ่อนคลายและมุ่งความสนใจไปที่ความสงบภายใน แม่น้ำอันเงียบสงบและอากาศที่เย็นสบายของภูเขาทำให้ที่นี่เป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการปฏิบัติธรรม เช่นการทำสมาธิการสวดมนต์และการเจริญสติ

การปฏิบัติธรรมที่วัด
ที่เกาะวาลูคาราม ผู้เยี่ยมชมสามารถเข้าร่วมการปฏิบัติธรรมทางพุทธศาสนาต่างๆ เพื่อส่งเสริมความแจ่มใสทางจิตใจและความเป็นอยู่ที่ดีทางอารมณ์ วัดแห่งนี้มีบริการสมาธิแบบมีผู้แนะนำซึ่งนำโดยพระภิกษุผู้มีประสบการณ์ โดยผู้เข้าร่วมจะได้เรียนรู้เทคนิคต่างๆ เช่นวิปัสสนา (การทำสมาธิเพื่อความเข้าใจแจ่มแจ้ง)และเมตตาภาวนา (การทำสมาธิเมตตา)การปฏิบัติเหล่านี้ช่วยให้ผู้คนปลูกฝังความสงบ ความเมตตา และสติในชีวิตประจำวันของพวกเขา

นอกจากนี้วัดยังจัดเทศน์ธรรมะ (คำสอนของพุทธศาสนา) เป็นประจำ ซึ่งให้ความรู้อันมีค่าเกี่ยวกับปรัชญาพุทธและคำแนะนำในการปฏิบัติธรรมเพื่อนำคำสอนเหล่านั้นไปใช้ในชีวิตประจำวัน พระภิกษุมีความรู้และเข้าถึงได้ง่าย โดยให้คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการใช้ชีวิตที่มีความหมายและสมบูรณ์ยิ่งขึ้นผ่านการปฏิบัติธรรม

ธรรมชาติรอบข้าง
ลักษณะพิเศษอย่างหนึ่งของวัดเกาะวาลูคารามคือธรรมชาติโดยรอบ วัดตั้งอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบ รายล้อมไปด้วยป่าทึบและทิวทัศน์ที่สวยงามบรรยากาศที่เงียบสงบของบริเวณนี้สนับสนุนการทำสมาธิและการไตร่ตรองอย่างลึกซึ้ง ผู้เยี่ยมชมมักจะเดินไปตามเส้นทางที่เงียบสงบซึ่งคดเคี้ยวผ่านบริเวณวัด ซึ่งเป็นโอกาสสำหรับการทำสมาธิในขณะที่รายล้อมไปด้วยความงามของธรรมชาติ

สถานที่สำหรับการฟื้นฟูจิตวิญญาณ
ไม่ว่าคุณจะกำลังมองหาสถานที่พักผ่อนในช่วงสุดสัปดาห์หรือการเข้าพักระยะยาว วัดเกาะวาลูคารามก็เป็นสถานที่สำหรับการฟื้นฟูจิตวิญญาณ วัดแห่งนี้มีที่พักสำหรับผู้ที่ต้องการดื่มด่ำกับวิถีชีวิตแบบพุทธ ผู้เยี่ยมชมสามารถเพลิดเพลินกับที่พักที่เรียบง่ายแต่สะดวกสบาย ซึ่งพวกเขาสามารถมุ่งเน้นที่การปฏิบัติธรรมและการไตร่ตรองตนเอง

นอกจากนี้ ทางวัดยังส่งเสริมให้ผู้มาเยี่ยมชมปฏิบัติธรรม5 ประการของพระพุทธศาสนาเช่น การงดเว้นจากการทำร้ายสัตว์ การงดเว้นจากการลักขโมย และการดำเนินชีวิตอย่างสุจริต ซึ่งจะช่วยให้ผู้มาเยี่ยมชมปฏิบัติธรรมสอดคล้องกับคำสอนของพระพุทธเจ้า ส่งผลให้มีความสงบภายในและการเติบโตทางจิตวิญญาณ

เยี่ยมชมวัดเกาะวาลูคาราม
หากต้องการเยี่ยมชมวัดเกาะวาลุการาม นักท่องเที่ยวสามารถขับรถจากตัวเมืองลำปางไปไม่ไกล จากนั้นเดินต่ออีกเล็กน้อยเพื่อไปยังวัด วัดมีบรรยากาศเงียบสงบ ทำให้สามารถตัดขาดจากโลกภายนอกและดื่มด่ำกับคำสอนของพระพุทธเจ้าได้อย่างง่ายดาย

นอกจากการปฏิบัติธรรมแล้ว นักท่องเที่ยวยังสามารถสำรวจพื้นที่โดยรอบซึ่งขึ้นชื่อในเรื่องความงดงามทางธรรมชาติและความสำคัญทางประวัติศาสตร์ได้อีกด้วย หมู่บ้านใกล้เคียงยังเปิดโอกาสให้สัมผัสวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมของภูมิภาคนี้ ทำให้ที่นี่เป็นจุดหมายปลายทางที่สมบูรณ์แบบสำหรับผู้ที่ต้องการผสมผสานการปฏิบัติธรรมเข้ากับการสำรวจวัฒนธรรม

วัดเกาะวาลุการามในจังหวัดลำปางเป็นสถานที่พักผ่อนสำหรับผู้ที่ต้องการปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ และค้นหาความสงบในบรรยากาศที่เงียบสงบ ไม่ว่าคุณต้องการทำความเข้าใจพระพุทธศาสนาให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น พัฒนาวิธีการทำสมาธิ หรือเพียงแค่ต้องการพักผ่อนอย่างสงบ วัดเกาะวาลุการามเป็นสถานที่ที่สมบูรณ์แบบสำหรับการฟื้นฟูจิตวิญญาณและการเติบโตทางบุคลิกภาพ เชิญมาเยี่ยมชมวัดอันเงียบสงบแห่งนี้ และปล่อยให้ความงามอันเงียบสงบของวัดนำคุณไปสู่เส้นทางแห่งการตรัสรู้

6
tokyo motor show: Honda เผยโฉม Honda 0 Saloon และ Honda 0 SUV เป็นครั้งแรกในโลกที่งาน CES 2025 พร้อมเปิดตัว ASIMO OS

ฮอนด้า เผยโฉมโมเดลรถต้นแบบ 2 รุ่น เป็นครั้งแรกในโลกที่งาน CES 2025 ได้แก่ Honda 0 Saloon และ Honda 0 SUV ซึ่งเป็นรถภายใต้ไลน์อัป Honda 0 Series (ฮอนด้า ซีโร่ ซีรีส์) ที่จะเปิดตัวสู่ตลาดโลกในปี พ.ศ. 2569 พร้อมทั้งเปิดตัว ASIMO OS ระบบปฏิบัติการรถยนต์ที่ฮอนด้าพัฒนาขึ้นเองสำหรับใช้กับรถ Honda 0 Series อีกด้วย

Honda 0 Saloon (ฮอนด้า ซีโร่ ซาลูน)
รถต้นแบบที่ได้รับการพัฒนาต่อยอดจาก concept model ที่เปิดตัวในงาน CES 2024 เมื่อปีที่ผ่านมา เพื่อเตรียมเปิดตัวสู่ตลาดโลกในปี พ.ศ. 2569 โดยยังคงไว้ซึ่งดีไซน์เอกลักษณ์ตามแบบฉบับ concept model ที่มาพร้อมตัวถังต่ำสไตล์สปอร์ต พร้อมด้วยภายในห้องโดยสารที่กว้างขวาง

นับเป็น Flagship Model ภายใต้ Honda 0 Series ที่จะได้รับการพัฒนาบนสถาปัตยกรรมใหม่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ อีกทั้งมาพร้อมหลากหลายเทคโนโลยีใหม่ที่ผสานแนวคิด บาง เบา และชาญฉลาด เข้าไว้ด้วยกัน

ฮอนด้า จะนำเทคโนโลยีการขับขี่อัตโนมัติที่เชื่อถือได้สูงบนพื้นฐานของระบบการขับขี่อัตโนมัติระดับ 3 มาติดตั้งเพื่อการใช้งานจริงเป็นครั้งแรกในโลก พร้อมด้วยฟังก์ชัน ultra-personal optimization ที่ผู้ใช้รถแต่ละรายจะได้สัมผัสกับประสบการณ์การเดินทางที่ปรับเปลี่ยนให้เหมาะกับตัวเอง เมื่อทำงานบนระบบปฏิบัติการยานยนต์ ASIMO OS

 ฮอนด้า จะเริ่มเดินสายการผลิต Honda 0 Saloon ในปี พ.ศ. 2569 โดยเริ่มจากอเมริกาเหนือเป็นที่แรกตามด้วยญี่ปุ่นและยุโรปตามลำดับ

Honda 0 SUV (ฮอนด้า ซีโร่ เอสยูวี)
ต้นแบบยนตรกรรมไฟฟ้าขนาดกลาง ที่จะเป็นโมเดลแรกภายใต้ Honda 0 Series ซึ่งได้รับ
การพัฒนาจากโมเดลต้นแบบ Space-Hub ที่เปิดตัวในงาน CES 2024

Honda 0 SUV จะมาพร้อมกับหลากหลายเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่สะท้อนแนวคิดการพัฒนา บาง เบา และชาญฉลาด เช่นเดียวกับ Honda 0 Saloon โดยจะส่งมอบพื้นที่สุดล้ำ ผ่านฟังก์ชัน ultra-personal optimization และประสบการณ์ดิจิทัล เมื่อทำงานบนระบบปฏิบัติการยานยนต์ ASIMO OS


นอกจากนี้ Honda 0 Series จะใช้การประมาณค่าความสูงจากพื้น และการควบคุมเสถียรภาพที่มีความแม่นยำสูงโดยอิงจาก 3D Gyro Sensors ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ฮอนด้าสั่งสมผ่านการพัฒนาเทคโนโลยีหุ่นยนต์ของตน เพื่อให้การควบคุมเป็นไปตามความต้องการของผู้ขับขี่ เมื่ออยู่บนพื้นผิวถนนหลากหลายรูปแบบ

โดยฮอนด้าจะเริ่มเดินสายการผลิต Honda 0 SUV ในช่วงครึ่งปีแรกของปี พ.ศ. 2569 โดยเริ่มจากอเมริกาเหนือเป็นที่แรก ตามด้วยญี่ปุ่นและยุโรปตามลำดับ

ระบบปฏิบัติการรถยนต์ ASIMO OS
ยนตรกรรมภายใต้ไลน์อัป Honda 0 Series จะมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการรถยนต์ ASIMO OS
ที่พัฒนาขึ้นโดยฮอนด้าเอง โดยฮอนด้านำชื่อ ASIMO มาใช้เป็นชื่อระบบปฏิบัติการฯ ด้วยความมุ่งมั่นที่จะทำให้ยานยนต์ซีรีส์นี้กลายเป็นไอคอนของยนตรกรรมไฟฟ้ารุ่นต่อไป ที่จะสร้างความประหลาดใจ และมอบแรงบันดาลใจแก่ผู้คนทั่วโลก เช่นเดียวกับที่ ASIMO เคยทำมา

นับตั้งแต่การพัฒนา ASIMO ฮอนด้าได้มุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีหุ่นยนต์ให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น โดยมุ่งที่จะส่งมอบคุณค่าใหม่ของยานพาหนะที่ฟังก์ชันหลักถูกควบคุมการทำงานด้วยซอฟต์แวร์ (SDVs) ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของฮอนด้า ด้วยการผสานเทคโนโลยีหุ่นยนต์เหล่านี้เข้ากับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ขั้นสูงสำหรับ Honda 0 Series

ASIMO OS จะถูกนำไปใช้ในการควบคุมการทำงานร่วมกับหน่วยควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ (ECUs)
ในยนตกรรมไฟฟ้า เช่น ระบบขับขี่อัตโนมัติ/ระบบช่วยผู้ขับขี่ขั้นสูง (AD/ADAS) และระบบความบันเทิงในรถยนต์ (IVI)
 
โดยในทุกครั้งที่มีการอัปเดตซอฟต์แวร์ในรถยนต์อย่างต่อเนื่องผ่านการอัปเดตแบบ OTA (Over-the-Air) แม้หลังจากที่ซื้อรถแล้ว ฟังก์ชันและบริการจะได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องตามความชอบและความต้องการของผู้ใช้งานแต่ละคน ซึ่งฟังก์ชันและบริการที่ได้รับการอัปเดตอย่างต่อเนื่องนี้ จะช่วยตอบโจทย์ในเรื่องของ พื้นที่ และประสบการณ์ดิจิทัล ที่มอบความสนุกสนานและความสะดวกสบายในทุกการเดินทาง รวมทั้งการควบคุมสมรรถนะการทรงตัวที่เป็นเอกลักษณ์ของฮอนด้า ที่จะทำให้ทุกการขับสนุกสนานยิ่งขึ้น และทำให้ผู้ขับรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับรถ

ทั้งนี้ ฮอนด้า วางแผนที่จะติดตั้ง ASIMO OS ใน Honda 0 SUV และ Honda 0 Saloon และยนตรกรรมรุ่นอื่น ๆ ใน Honda 0 Series

ระบบการขับขี่อัตโนมัติ AD (Automated Driving)
ในปี พ.ศ. 2564 ฮอนด้า เป็นผู้ผลิตยานยนต์รายแรกของโลกที่นำระบบขับขี่อัตโนมัติระดับ 3 มาใช้จริง โดยได้ติดตั้งใน Honda Legend ที่มาพร้อม ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง อีลิท (Honda SENSING Elite) ซึ่งรองรับระบบการขับขี่อัตโนมัติระดับ 3 (แบบละสายตาได้) และการขับขี่อัตโนมัติแบบมีเงื่อนไขในพื้นที่จำกัด
 
 ฮอนด้า เชื่อว่าการใช้เทคโนโลยีการขับขี่แบบละสายตาได้อย่างแพร่หลาย จะนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายในการทำให้อุบัติเหตุทางท้องถนนเป็นศูนย์ในอนาคตได้ ฮอนด้า จึงพยายามนำเสนอยนตรกรรมขับขี่อัตโนมัติในราคาที่จับต้องได้ให้กับลูกค้าทั่วโลกผ่าน Honda 0 Series
 
โดยฮอนด้า ได้นำเทคโนโลยี AI ของตนเองที่ผสมผสานเทคโนโลยีการเรียนรู้แบบไร้การควบคุม*1 ของ Helm.ai เข้ากับโมเดลพฤติกรรมของผู้ขับขี่ที่มีประสบการณ์ ซึ่งช่วยให้ AI สามารถเรียนรู้ด้วยข้อมูลจำนวนน้อย และขยายขอบเขตของสถานการณ์ที่การขับขี่อัตโนมัติและการช่วยเหลือผู้ขับขี่สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ ฮอนด้า จะนำเทคโนโลยี AI ของฮอนด้ามาประยุกต์ใช้กับงานพัฒนา ผ่านการวิจัยเกี่ยวกับผู้คนและการเคลื่อนที่ เพื่อปรับปรุงความแม่นยำของพฤติกรรมการอยู่ร่วมกัน (cooperative behavior) เช่น การให้ทางกับผู้อื่นบนถนน ด้วยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอันล้ำสมัยนี้ จะทำให้ฮอนด้าสามารถสร้างระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ที่เชื่อถือได้สูง ตอบสนองต่อสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดได้อย่างรวดเร็วและเหมาะสม เช่น เมื่อมีสัตว์วิ่งเข้าสู่ช่องทาง หรือวัตถุตกลงบนถนน

Honda 0 Series จะได้รับการติดตั้งระบบที่ช่วยขยายขอบเขตความสามารถในการช่วยเหลือผู้ขับขี่
ในหลากหลายสภาพการขับขี่ ด้วยระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่และระบบขับขี่อัตโนมัติระดับ 3 โดยจะเริ่มด้วยเทคโนโลยีการขับขี่แบบละสายตา (eyes-off) ที่ใช้ได้ในสภาพการจราจรติดขัดบนทางหลวง และสภาพการจราจรอื่น ๆ จากการอัปเดต OTA ของฟังก์ชันต่าง ๆ

การพัฒนา SoC สำหรับ Honda 0 Series
ในงาน CES 2025 ฮอนด้า และ Renesas Electronics Corporation (Renesas) ได้ประกาศการลงนามในข้อตกลงเพื่อพัฒนาระบบชิปบนอุปกรณ์ (SoC) ประสิทธิภาพสูง เพื่อนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายด้านยานพาหนะในอนาคตที่ฟังก์ชันหลักถูกควบคุมการทำงานด้วยซอฟต์แวร์ (SDVs) ซึ่งฮอนด้ามุ่งมั่นจะทำให้สำเร็จในไลน์อัป Honda 0 Series
 
สำหรับยนตรกรรม Honda 0 Series เจเนอเรชันถัดไป ที่จะเปิดตัวในช่วงครึ่งหลังของคริสต์ทศวรรษที่ 2020 ฮอนด้าจะนำสถาปัตยกรรม E&E แบบ Centralized ซึ่งเป็นการรวม ECU หลายตัวที่รับผิดชอบควบคุมระบบยานพาหนะแต่ละตัวให้เป็นหนึ่ง ECU หลัก ซึ่งทำหน้าที่เสมือนศูนย์กลางของยานพาหนะ (SDV) ในการจัดการระบบต่าง ๆ เช่น AD/ADAS, การควบคุมระบบขับเคลื่อน และฟีเจอร์เพื่อความสะดวกสบายต่าง ๆ ทั้งหมดอยู่ใน ECU เดียว เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ ECU จึงต้องการระบบชิป (SoC) ที่มีประสิทธิภาพการประมวลผลสูงกว่าระบบทั่วไป ในขณะที่ใช้พลังงานเพิ่มในอัตราที่น้อยที่สุด
 
เพื่อตอบโจทย์ความต้องการดังกล่าว ฮอนด้าและ Renesas จะสร้างระบบที่ใช้เทคโนโลยีชิปเล็ตแบบ Multi-Die Chiplet Technology*2  ที่นำชิป Renesas generic รุ่นที่ห้า (Gen 5) R-Car X5 SoC series มาทำงานร่วมกับ AI accelerator ที่ถูกปรับให้เหมาะสมกับซอฟต์แวร์ AI ที่พัฒนาขึ้นโดยฮอนด้า ซึ่งการผสานการทำงานนี้ ทั้งสองบริษัทตั้งเป้าที่จะพัฒนาระบบ AI ชั้นนำของอุตสาหกรรมที่มีประสิทธิภาพสูงถึง 2,000 TOPS*3 (Sparse) ด้วยประสิทธิภาพการใช้พลังงาน 20 TOPS ต่อวัตต์ (TOPS/W)

บริการด้านพลังงาน
เพื่อนำเสนอยนตรกรรมไฟฟ้า Honda 0 Series ที่สามารถส่งมอบความสุขและอิสระในการขับเคลื่อนให้กับผู้คนจำนวนมากโดยไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ฮอนด้า จึงมุ่งมั่นพัฒนาและนำเสนอบริการด้านพลังงานใหม่ ๆ ตาม 2 แนวคิดหลัก ได้แก่ 1) การสร้างเครือข่ายการชาร์จที่ช่วยให้ลูกค้าเพลิดเพลินและมีอิสระในการขับเคลื่อนอย่างไร้กังวล และ 2) การให้ผู้คนสามารถเพลิดเพลินกับชีวิตประจำวันด้วยพลังงานสะอาดโดยใช้แบตเตอรี่ EV

1)    การจัดตั้งเครือข่ายการชาร์จ
ฮอนด้า มุ่งมั่นที่จะสร้างสังคมที่ผู้ใช้ Honda 0 Series จะไม่มีปัญหาในการชาร์จรถยนต์ของพวกเขา เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายนี้ ในอเมริกาเหนือ ผู้ผลิตรถยนต์ 8 ราย*4 ได้ร่วมกันจัดตั้งกิจการร่วมค้าเพื่อสร้างเครือข่ายการชาร์จที่ชื่อว่า IONNA โดยมีเป้าหมายที่จะรวมสถานีชาร์จคุณภาพสูงอย่างน้อย 30,000 แห่งภายในปี พ.ศ. 2573 ซึ่งยนตรกรรมไฟฟ้าทุกรุ่นในไลน์อัป Honda 0 Series จะมาพร้อมช่องชาร์จไฟตามมาตรฐานการชาร์จในอเมริกาเหนือ (NACS) โดยฮอนด้าจะเดินหน้าขยายเครือข่ายการชาร์จต่อไปเพื่อให้แน่ใจว่าผู้ใช้ Honda 0 Series จะสามารถเข้าถึงสถานีชาร์จมากกว่า 100,000 แห่งภายในปี 2573

นอกจากนี้ เพื่อรองรับการเปิดตัวของ Honda 0 Series ฮอนด้า กำลังพิจารณาเพิ่มบริการชาร์จไฟใหม่จากเครือข่ายการชาร์จที่ครอบคลุมนี้ โดยใช้เทคโนโลยีของ Amazon Web Services, Inc. (AWS) เช่น Amazon Bedrock, เทคโนโลยี AI ของ AWS เข้ากับเทคโนโลยี AI ของฮอนด้า และหลังจากการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้รับจาก Honda 0 Series และเครือข่ายการชาร์จที่ครอบคลุมมากขึ้นในอนาคต ฮอนด้า จะพยายามส่งมอบประสบการณ์การชาร์จไฟที่ปรับให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคลในแง่ของการหาสถานที่ชาร์จและทำให้การชำระเงินเป็นเรื่องง่าย เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าฮอนด้าให้มากที่สุด

2)    การทำให้ผู้คนสามารถเพลิดเพลินกับชีวิตประจำวันด้วยพลังงานสะอาด เพื่อบรรลุเป้าหมายในการสร้างความเป็นกลางทางคาร์บอน การใช้พลังงานหมุนเวียนให้มากขึ้น นับเป็นสิ่งสำคัญควบคู่กับความนิยมของรถยนต์ไฟฟ้า 

สำหรับการชาร์จไฟฟ้าที่บ้าน ซึ่งคาดว่าจะเป็นประมาณ 80% ของการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมด*5 ฮอนด้าจะพัฒนา Honda Smart Charge ซึ่งเป็นบริการชาร์จไฟสำหรับผู้ใช้รถ EV ที่ฮอนด้ากำลังให้บริการในอเมริกาเหนือ โดยการรวมระบบการจัดการพลังงานในบ้านที่พัฒนาร่วมกับ Emporia Corp. เข้ากับระบบ Vehicle Grid Integration (VGI) ของ ChargeScape ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนด้านซอฟต์แวร์ที่ฮอนด้าจัดตั้งขึ้นร่วมกับบีเอ็ม ดับเบิ้ลยู และฟอร์ด และด้วยโครงการที่ฮอนด้าได้ริเริ่มเหล่านี้ คาดว่าจะมีส่วนช่วยลดค่าไฟฟ้าและการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ให้กับลูกค้าในอเมริกาเหนือและตลาดอื่น ๆ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2569 เป็นต้นไป

ด้วยบริการด้านพลังงานนี้ หากนำเอายนตรกรรมภายใต้ Honda 0 Series จำนวนหนึ่งมารวมกัน จะสามารถทำหน้าที่เป็นโรงไฟฟ้าเสมือน หรือ VPP ได้ และสามารถปรับแผนการชาร์จได้ตามความต้องการของผู้ใช้งานแต่ละคนได้มากขึ้น โดยเฉพาะยนตรกรรมภายใต้ Honda 0 Series จะชาร์จไฟตัวเองโดยการเลือกช่วงเวลาของวันที่ค่าไฟฟ้าต่ำ และสามารถใช้พลังงานหมุนเวียนได้ และปล่อยกระแสไฟฟ้าเพื่อใช้ในบ้านในช่วงเวลาที่ค่าไฟฟ้าสูง จึงมีส่วนช่วยในการจัดการค่าไฟครัวเรือนทั้งบ้านได้อย่างชาญฉลาด

นอกจากนี้ เมื่อกระแสไฟฟ้าเกิดการขาดแคลน ไฟฟ้าที่เก็บไว้ในรถ Honda 0 Series จะสามารถจ่ายไฟกลับเข้าสู่กริดพลังงานได้ จึงช่วยเสริมเสถียรภาพในระบบการจ่ายไฟฟ้า และช่วยให้เจ้าของรถสามารถสร้างรายได้จากรถยนต์ EV ของพวกเขา ในส่วนของการเสื่อมสภาพของแบตเตอรี่ที่อาจเป็นข้อกังวลจากการชาร์จและปล่อยประจุซ้ำ ๆ ปัญหานี้จะลดลงได้ด้วยเทคโนโลยีการจัดการแบตเตอรี่ที่ฮอนด้าสั่งสมมาจากการพัฒนาระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด

หมายเหตุ :
*1     การเรียนรู้แบบไร้การควบคุม (Unsupervised learning) เป็นหนึ่งในวิธีการเรียนรู้ของเครื่องยนต์ที่สนับสนุน AI โดยแตกต่างจากการเรียนรู้แบบมีการควบคุม (supervised learning) ซึ่ง AI เรียนรู้คำตอบที่ถูกต้องจากข้อมูลที่มีป้ายกำกับ การเรียนรู้แบบไร้การควบคุมนั้นอนุญาตให้ AI เรียนรู้โดยไม่ต้องได้รับคำตอบที่ถูกต้องและค้นหาแบบแผนและลักษณะเฉพาะของข้อมูลที่ไม่มีป้ายกำกับด้วยตนเอง
*2     เทคโนโลยีในการสร้างระบบโดยการรวมชิปหลายตัว (dies) ที่มีฟังก์ชันต่างกันเข้าด้วยกัน
*3     Tera Operations Per Second (TOPS) เป็นหน่วยวัดประสิทธิภาพการประมวลผลของ AI และวัดจำนวนปฏิบัติการที่สามารถดำเนินการได้ต่อวินาที โดยอิงตามโมเดล AI แบบกระจาย (sparse AI model)
*4     American Honda Motor, บริษัทในเครือของฮอนด้าในสหรัฐอเมริกา, BMW Group, General Motors, Hyundai Motors, Kia Corporation, Mercedes-Benz Group, Stellantis N.V., Toyota Motor
*5     ผลการวิจัยภายในของ Honda

7
ตรวจอาการเบื้องต้นด้วยตนเอง: กลุ่มอาการสตีเวนส์จอห์นสัน (Stevens-Johnson syndrome/Erythema multiforme major)

กลุ่มอาการสตีเวนส์จอห์นสัน

กลุ่มอาการสตีเวนส์จอห์นสัน เป็นภาวะที่เกิดจากการอักเสบรุนแรงของผิวหนังและเยื่อเมือก (mucosa) ซึ่งก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนและการตายค่อนข้างสูง

สถิติในประเทศสหรัฐอเมริกา พบโรคนี้ประมาณ 2.7-7.1 รายต่อ 1 ล้านคน-ปี (person-year) พบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง 2 เท่า พบได้ในคนทุกวัย ช่วงอายุที่พบบ่อยคือ 10-40 ปี

สาเหตุ

กว่าร้อยละ 50 ของผู้ป่วยเกิดโรคขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุชักนำใด ๆ

ส่วนกลุ่มที่ทราบสาเหตุชักนำนั้นมักเกิดจากสาเหตุ ดังนี้

    การแพ้ยา ที่พบบ่อยได้แก่ ยาปฏิชีวนะ (กลุ่มซัลฟา เพนิซิลลิน) ยากันชัก (บาร์บิทูเรต เฟนิโทอิน คาร์บามาซีพีน) ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (เฟนิลบูทาโซน ไพร็อกซิแคม) ยารักษาโรคเกาต์ (อัลโลพูรินอล)

นอกจากนี้ ยังอาจเกิดจากยาอื่น ๆ เช่น กลุ่มยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (แอสไพริน ไอบูโพรเฟน ไดโคลฟีแนก) ยาปฏิชีวนะ (เซฟาโลสปอริน ไรแฟมพิซิน ไซโพรฟล็อกซาซิน อีแทมบูทาล) ยาต้านไวรัส

    การติดเชื้อ ได้แก่ เชื้อไวรัส (เชื้อเริม เอชไอวี ไวรัสตับอักเสบ คางทูม ไข้หวัดใหญ่) เชื้อแบคทีเรีย (บีตาฮีโมไลติกสเตรปโตค็อกคัสกลุ่มเอ คอตีบ ไทฟอยด์ ไมโคพลาสมา) เชื้อรา และโปรโตซัว
    โรคมะเร็ง มีโรคมะเร็งหลายชนิด รวมทั้งมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ที่ชักนำให้เกิดกลุ่มอาการสตีเวนส์จอห์นสัน

โดยทั่วไป ผู้ป่วยเด็กมักเกิดจากโรคติดเชื้อมากกว่าการแพ้ยาและมะเร็ง ส่วนผู้ใหญ่และผู้สูงอายุมักเกิดจากการแพ้ยาและมะเร็งมากกว่าโรคติดเชื้อ

อาการ

ที่สำคัญคือ มีอาการผื่นตุ่มขึ้นที่ผิวหนังและเยื่อเมือก

โดยก่อนมีผื่นขึ้น 1-14 วัน ผู้ป่วยจะมีอาการไข้ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว เจ็บคอ เป็นหวัด ไอ ปวดข้อ อาเจียน ถ่ายเหลว เป็นอาการนำมาก่อน

ผื่นที่ผิวหนังเริ่มที่หน้า คอ คาง ลำตัว แล้วลามไปทั่วร่างกาย เริ่มแรกมีลักษณะเป็นผื่นแดงและตุ่มนูน ไม่คัน ต่อมาผื่นตุ่มบางส่วนจะมีตุ่มน้ำเกิดขึ้นตรงกลาง ตุ่มน้ำบางส่วนจะมีขนาดใหญ่คล้ายตุ่มพองจากน้ำร้อนลวก ซึ่งต่อมาจะแตกและหลุดออกเป็นรอยแผลสีแดง มีอาการเจ็บ ผู้ป่วยจะรู้สึกไม่สบายมาก และมีไข้ หนาวสั่น

ผื่นมักเป็นอยู่นาน 2-6 สัปดาห์ และเมื่อหายจะเหลือให้เห็นเป็นรอยคล้ำ

ส่วนผื่นที่เยื่อเมือกอาจเกิดพร้อมกับผื่นที่ผิวหนังหรือเกิดตามมาทีหลังก็ได้ พบได้ทั้งที่เยื่อบุตา จมูก ปาก อวัยวะเพศ และทวารหนัก

เยื่อบุปากจะขึ้นเป็นตุ่มน้ำ แล้วแตกเป็นแผลไปทั่วปาก ทำให้ผู้ป่วยเจ็บปากมากจนกินอาหาร ดื่มน้ำได้น้อยหรือไม่ได้เลย และมีกลิ่นปากรุนแรง

การอักเสบที่เยื่อบุตาทำให้เจ็บตา ตาบวมแดง น้ำตาไหล มีสะเก็ดจับเกรอะทำให้ลืมตาไม่ได้

การอักเสบที่บริเวณอวัยวะเพศ ท่อปัสสาวะ และทวารหนัก ทำให้ถ่ายปัสสาวะและอุจจาระลำบาก ปัสสาวะแสบขัด ท้องผูก


ภาวะแทรกซ้อน

ในรายที่เป็นรุนแรง อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนของอวัยวะต่าง ๆ ดังนี้

ตา อาจเกิดแผลที่กระจกตา ม่านตาอักเสบ กระจกตาอักเสบ หนังตาติดกัน ตาแห้ง (ไม่มีน้ำตา) และอาจทำให้ผู้ป่วยตาบอด ซึ่งพบได้ประมาณร้อยละ 3-10

ผิวหนัง เป็นแผลเป็น

ทางเดินหายใจ ถ้ามีเยื่อบุทางเดินหายใจอักเสบร่วมด้วยอาจทำให้ปอดอักเสบ ภาวะการหายใจล้มเหลว

ทางเดินอาหาร ถ้ามีเยื่อบุหลอดอาหารอักเสบรุนแรงร่วมด้วยก็อาจทำให้หลอดอาหารตีบ

ทางเดินปัสสาวะ อาจเกิดภาวะไตวายเฉียบพลัน ท่อปัสสาวะตีบ

อวัยวะเพศ ถ้ามีการอักเสบของเยื่อเมือกภายในอวัยวะเพศร่วมด้วย อาจทำให้ช่องคลอดตีบ หนังหุ้มปลายองคชาตติดกัน

นอกจากนี้ อาจมีการสูญเสียน้ำออกไปทางรอยแผลที่ผิวหนังซึ่งเกิดจากการหลุดออกของตุ่มน้ำขนาดใหญ่ และถ้าร่างกายมีการติดเชื้อแทรกซ้อนรุนแรง ก็อาจกลายเป็นภาวะโลหิตเป็นพิษได้

ภาวะแทรกซ้อนที่ตาของกลุ่มอาการสตีเวนส์จอห์นสัน

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบ ดังนี้

ไข้ ผื่นและตุ่มน้ำตามผิวหนัง ตาบวมแดง ตาแฉะ ลืมตาลำบาก ปากเปื่อย เยื่อเมือกบริเวณอวัยวะเพศ ท่อปัสสาวะ และทวารหนักอักเสบ

มักพบรอยหลุดลอกของตุ่มน้ำขนาดใหญ่ มักกินพื้นที่น้อยกว่าร้อยละ 10 (ไม่เกิน 30) ของพื้นผิวกาย

บางรายแพทย์อาจทำการวินิจฉัยโดยการนำชิ้นเนื้อผิวหนังไปตรวจทางห้องปฏิบัติการ (skin biopsy)

การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะรับตัวผู้ป่วยไว้รักษาในโรงพยาบาล เพื่อเฝ้าติดตามอาการจนกว่าจะปลอดภัย โดยให้การดูแลรักษาดังนี้

1. ในรายที่ทราบสาเหตุชักนำ ก็ให้การรักษาตามสาเหตุ เช่น ถ้าสงสัยว่าเกิดจากการแพ้ยา ก็จะหยุดยาทุกชนิดที่สงสัยว่าแพ้ การแพ้ยาอาจเกิดขึ้นโดยที่ผู้ป่วยไม่เคยมีประวัติการแพ้ยาชนิดนั้น ๆ มาก่อนก็ได้

2. ให้การดูแลรักษาตามอาการหรือภาวะที่พบร่วม เช่น การให้สารน้ำ เกลือแร่ และสารอาหารบำรุงร่างกายให้เพียงพอ ให้ยาบรรเทาปวด ลดไข้ ดูแลผื่นตุ่มแผลที่ผิวหนังและในช่องปาก

ถ้ามีอาการทางตา ก็จะปรึกษาจักษุแพทย์ให้มาดูแลรักษาเพื่อป้องกันและแก้ไขภาวะแทรกซ้อนทางตา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ อาการตาบอด (เป็นภาวะแทรกซ้อนที่เกิดได้บ่อย และบางครั้งถ้าเป็นรุนแรงก็หาทางป้องกันไม่ได้) ซึ่งต้องติดตามดูแลกันนานเป็นแรมปี

ถ้ามีภาวะแทรกซ้อนทางระบบทางเดินหายใจ ทางเดินปัสสาวะ ทางเดินอาหาร อวัยวะเพศ ก็จะปรึกษาแพทย์เฉพาะทางที่เกี่ยวข้องมาช่วยกันดูแลรักษา

3. ในรายที่มีโรคติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน แพทย์ก็จะเลือกให้ยาปฏิชีวนะที่ไวต่อเชื้อชนิดนั้น ๆ

4. การใช้ยาสเตียรอยด์ซึ่งเป็นยาลดการอักเสบและลดการแพ้ แพทย์อาจพิจารณาให้เป็นบางกรณี และจะให้ยาในขนาดสูงในช่วงสั้น ๆ เฉพาะในระยะแรกของโรค การใช้ยาสเตียรอยด์ในการรักษาโรคนี้ยังเป็นที่ถกเถียงหาข้อสรุปไม่ได้ เท่าที่มีรายงานพบว่ามีทั้งที่รายงานว่าได้ผลดี และรายงานว่ากลับทำให้ผู้ป่วยแย่ลงหรือเกิดภาวะแทรกซ้อนมากขึ้น

ผลการรักษาขึ้นกับความรุนแรงของโรค

ในรายที่เป็นไม่รุนแรง มักจะหายได้ภายใน 1-2 สัปดาห์ โดยไม่มีภาวะแทรกซ้อนตามมา

ถ้าผิวหนังมีการติดเชื้อแทรกซ้อน อาจใช้เวลารักษานาน 2-6 สัปดาห์

ในรายที่เป็นรุนแรง อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนดังกล่าวตามมา

การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการผื่นตุ่มขึ้นที่ผิวหนังและเยื่อเมือก มีตุ่มน้ำหรือตุ่มพองคล้ายถูกน้ำร้อนลวก เป็นต้น ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นกลุ่มอาการสตีเวนส์จอห์นสัน ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ 
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด


ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    สงสัยมีภาวะแทรกซ้อนตามมา เช่น มีอาการหนังตาติด ตามัว หายใจลำบาก กลืนลำบาก ถ่ายปัสสาวะลำบาก เป็นต้น
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ

การป้องกัน

1. สำหรับคนทั่วไป พยายามหลีกเลี่ยงการใช้ยาโดยไม่จำเป็น โดยเฉพาะกลุ่มยาที่ทำให้เกิดการแพ้ได้ง่าย

2. ส่วนผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ เมื่อรักษาหายแล้วห้ามใช้ยาที่แพ้อีกต่อไป

ข้อแนะนำ

1. โรคนี้อาจมีอาการแสดงคล้ายกับโรคผิวหนังอีก 2 ชนิด ได้แก่

โรคอีเอ็ม (erythema multiforme/EM) ผู้ป่วยจะมีผื่นแดง ตุ่มนูน ตุ่มน้ำขนาดเล็กและขนาดใหญ่ขึ้นตามผิวหนัง มักมีลักษณะเฉพาะที่เรียกว่า target หรือ iris lesion (มีลักษณะเป็นวงแดงซ้อนกันหลายวง โดยตรงกลางเป็นรอยแดงคล้ำหรือเป็นตุ่มน้ำ วงถัดมาเป็นบริเวณที่มีการบวมเห็นเป็นสีซีด และวงนอกสุดเป็นสีแดง) พบมากที่บริเวณด้านนอกของแขนขามากกว่าลำตัว มักเป็นทั้ง 2 ข้างสมมาตรกัน อาจมีผื่นที่เยื่อเมือกเพียง 1 แห่ง (มักขึ้นในเยื่อบุปาก) หรือไม่มีเลยก็ได้ อาจมีสาเหตุจากการแพ้ยา การติดเชื้อ โรคภูมิต้านตนเองหรือมะเร็ง โรคนี้มักเป็นไม่รุนแรง ผื่นมักจะเป็นอยู่นาน 1-3 สัปดาห์

โรคทีอีเอ็น (toxic epidermal necrolysis/TEN) จัดเป็นโรคในกลุ่มเดียวกับกลุ่มอาการสตีเวนส์จอห์นสัน มีอาการของผิวหนังร่วมกับเยื่อเมือกหลายแห่งแบบเดียวกัน แต่มีความรุนแรงมากกว่ากัน ผิวหนังจะมีตุ่มน้ำขนาดใหญ่ขึ้นทั่วร่างกาย และลอกออกคล้ายแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก มักกินพื้นที่มากกว่าร้อยละ 30 ของพื้นผิวกาย เยื่อบุผิวจะมีการอักเสบเป็นตุ่ม เป็นแผลเปื่อยรุนแรง โรคทีอีเอ็นนี้มักเกิดจากการแพ้ยาและมีอัตราตายสูง

กลุ่มสตีเวนส์จอห์นสัน มักจะมีผิวหนังพุพองและลอกออกกินพื้นที่น้อยกว่าร้อยละ 10 ของพื้นผิวกาย

ถ้าผิวหนังลอกกินพื้นที่ระหว่างร้อยละ 10-30 ก็อาจเกิดจากสาเหตุใดสาเหตุหนึ่งก็ได้ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะแยกโรคไม่ได้ชัดเจน แต่ถ้าพบว่ามีผื่นหรือแผลเปื่อยที่เยื่อเมือกร่วมกับผื่นตุ่มที่ผิวหนัง ก็ควรจะรีบส่งผู้ป่วยไปโรงพยาบาลโดยเร็ว

2. ควรค้นหาสาเหตุว่าเกิดจากอะไร กว่าร้อยละ 50 ของผู้ป่วยจะมีอาการเกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ ส่วนที่มีสาเหตุชักนำ ก็อาจเกิดจากยา การติดเชื้อ หรือมะเร็งก็ได้

ถ้ามีสาเหตุจากยา ต่อไปควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาชนิดนั้น ๆ อีก เพราะอาจทำให้โรคกำเริบได้

8
ขายรถไมล์น้อย Toyota Yaris Cross HEV Smart 2024 (สีเทา) มีโปรโมชั่นพิเศษ

โตโยต้า Toyota Yaris Cross HEV Smart ปี 2023
TOYOTA YARIS CROSS HEV SMART ยนตรกรรม SUV ไฮบริดใหม่ล่าสุด ที่ผสมผสานการใช้งานแบบ “URBAN x ADVENTURE” ตอบสนองการขับขี่ในเมืองที่คล่องแคล่ว สนุกสนาน และสะดวกสบายยิ่งขึ้น โดดเด่นด้วยฟังก์ชันอำนวยความสะดวก และอุปกรณ์ความปลอดภัยระดับ Top Class ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ไฮบริด 2NR-VEX ขนาด 1.5 ลิตร 4 สูบแถวเรียง DOHC 16 วาล์ว Dual VVT-i แบตเตอรี่แบบลิเธียมไอออน เกียร์อัตโนมัติ e-CVT ให้อัตราเร่งดี ห้องโดยสารเงียบ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม อัตราการปล่อย CO2 ต่ำประหยัดน้ำมันที่สุดในคลาสถึง 26.3 กม./ลิตร (อ้างอิงจาก Eco Sticker)

หมายเหตุ : รายละเอียดของรถยนตอ์าจมีการเปลี่ยนแปลงภายหลัง

รถผู้บริหาร รถทดลองขับ ไมล์น้อย ราคาและโปรโมชั่นพิเศษ

โปรโมชั่นพิเศษ
ตั้งแต่ 1 พ.ย. - 30 พ.ย. 2567
รับประกันเครื่องยนต์+เกียร์ 3 ปี 100,000 กิโลเมตร และ แบตเตอรี่ไฮบริด 10 ปี
รถชนหนักหรือน้ำท่วมยินดีรับซื้อคืน

ราคาพิเศษ 699,000 บาท

สนใจสอบถามรายละเอียดกดลิ้ง https://www.checkraka.com/flashdeal/car

รายละเอียดเบื้องต้น
   แบรนด์             Toyota
   รุ่น                  โตโยต้า Toyota Yaris Cross HEV Smart ปี 2023
   ประเภทรถ         รถอเนกประสงค์ SUV, รถไฮบริด
   ปีที่เปิดตัว          2023


9
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น
•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
“NEWTECH INSULATION” ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในโรงงานอุตสาหกรรม
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
“เพราะเรา…เข้าใจเรื่องเสียง”


สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/



10
ชุดปฏิบัติธรรม ชุดแม่ชี เราเป็น โรงงานผลิตโดยตรง
ตัดเย็บปราณีต ทรงสวย เรียบหรู ดูสง่างดงาม
ผลิตจาก ผ้าฝ้ายแท้ 100% เกรดพรีเมียม

ชุดปฏิบัติธรรม ชุดขาวไปวัด ชุดแม่ชี
– ราคาแยกรายชิ้น –
ทอย้อมจากโรงงานอุตสาหกรรมชั้นดี
พร้อมส่งทุกไซส์
(กรณีสั่งตัดไซส์พิเศษ รอผลิต 7-10 วัน)
จัดส่งฟรี‼ เมื่อลูกค้าโอนชำระ
มีบริการเก็บเงินปลายทาง (+ตัวละ 10.-)

รับตัดชุดขาวไซส์ใหญ่พิเศษ
หมดกังวล หาไซส์ไม่ได้ ทางร้านเป็นโรงงานผลิตโดยตรง
สามารถสั่งตัดชุดได้ตามความต้องการ รอผลิต 7-10 วันทำการ

ร้านอริยทรัพย์ ชุดขาวปฏิบัติธรรม
เบอร์มือถือ :  092-926-4142 , 063-289-5356
Facebook : ชุดขาวปฎิบัติธรรม อริยทรัพย์
Instagram : ariyasub.shop
ID Line : @ariyasub (มี@)
เว็บไซด์: https://ariyasub99.com/
สนใจตัดชุดขาวไซซ์พิเศษ ติดต่อมาได้เลยค่ะ

สัมผัสประสบการณ์ใหม่
จากผ้าฝ้ายแท้ 100%
 นุ่มสบาย ไม่ร้อน ไม่ระคายคือง
ใส่ใจทุกขั้นตอนการผลิต ตั้งแต่การคัดสรรเนื้อผ้า
การตัดเย็บ รวมไปถึงการจัดส่งแบบปกติ
และจัดส่งเร่งด่วน (Kerry EMS Grab)

ชุดขาวปฎิบัติธรรม ชุดขาวหญิง ชุดแม่ชี คุณภาพ
เน้นคุณภาพใส่ใจทุกขั้นตอน ตัดเย็บงานผ้าฝ้ายคุณภาพ (cotton 100%)
สวมใส่สบาย ระบายความร้อนได้ดี ไม่อึดอัด

ชุดปฎิบัติธรรมชาย คุณภาพ
เน้นคุณภาพใส่ใจทุกขั้นตอน ตัดเย็บงานผ้าฝ้ายคุณภาพ (cotton 100%)
สวมใส่สบาย ระบายความร้อนได้ดี ไม่อึดอัด


ร้านอริยทรัพย์ ชุดขาวปฏิบัติธรรม
เบอร์มือถือ :  092-926-4142 , 063-289-5356
Facebook : ชุดขาวปฎิบัติธรรม อริยทรัพย์
Instagram : ariyasub.shop
ID Line : @ariyasub (มี@)
เว็บไซด์: https://ariyasub99.com/
สนใจตัดชุดขาวไซซ์พิเศษ ติดต่อมาได้เลยค่ะ







11
จัดฟันบางนา: ข้อจำกัดของผู้ป่วย ในการทำสะพานฟัน

เชื่อว่าหลายๆท่านที่กำลังประสบปัญหาการสูญเสียฟันแท้ตามธรรมชาติ ไม่ทราบว่าควรทำอย่างไร หรือทำฟันปลอมแบบไหนดี เนื่องจากว่าในสมัยปัจจุบันนี้มีการทำฟันปลอม หรือที่ทางทันตกรรมเรียกว่า ฟันเทียม อยู่มากมายหลายรูปแบบซึ่งแต่ละรูปแบบก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของผู้ใช้งานเสียมากกว่า ซึ่งฟันเทียมนั้นถือได้ว่ามีประโยชน์เป็นอย่างมากในด้านการเสริมสร้างบุคลิกภาพหากว่าท่านสูญเสียฟันหน้าไป การทำฟันเทียมจะช่วยเติมเต็มทำให้ท่านกล้าที่จะพูดคุย ยิ้มอย่างเป็นธรรมชาติ เพราะฟันเทียมในสมัยนี้ทำออกมาได้เหมือนฟันจริงตามธรรมชาติมากๆ แถมยังมีหน้าที่สำคัญคือช่วยในเรื่องการบดเคี้ยวฉีกกัดอาหารอีกด้วย

ซึ่งการทำสะพานฟัน โดยถือได้ว่าเป็นการทำฟันเทียมแบบติดแน่นอีกรูปแบบหนึ่ง ที่กำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่ผู้ทำฟันปลอม โดยถือว่าเป็นตัวเลือกแรกๆที่หลายท่านกำลังมองหา

แต่หลายๆท่านอาจจะไม่ทราบว่าการทำสะพานฟันนั้นมีข้อดีข้อเสียอะไรบ้าง เหมาะสมกับใครบ้าง ในวันนี้ทางด้าน Idol Smile Dental Clinic จะขอพาท่านผู้อ่านมาศึกษารายละเอียดเรื่องการทำสะพานฟันให้เป็นส่วนหนึ่งในการตัดสินใจของท่าน โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้


สะพานฟันแบ่งเป็นกี่ประเภท ?

ต้องบอกเลยว่า การทำฟันเทียม แบบสะพานฟันนั้น มีให้เลือกตามความเหมาะสมมากมาย โดยจะแบ่งการยึดติดเป็น 3 ประเภทดังต่อไปนี้

– สะพานฟันแบบทั่วไป

การทำสะพานฟันประเภทนี้ถือว่าเป็นรูปแบบที่ทันตแพทย์มักแนะนำ คือการทำสะพานฟันแบบยึดติดกับฟันธรรมชาติทั้ง 2 ข้าง ซึ่งการทำสะพานฟันรูปแบบนี้สามารถช่วยในเรื่องการบดเคี้ยวได้ดีกว่าการทำสะพานฟันรูปแบบอื่นๆ

– สะพานฟันแบบยึดติดฟันข้างเดียว

ประเภทนี้จะใช้การยึดติดกับฟันธรรมชาติเพียงแค่ด้านเดียว ซึ่งส่วนที่ใช้ทดแทนฟันที่สูญเสียไปนั้นจะเป็นฟันลอย ซึ่งการทำสะพานฟันรูปแบบนี้ไม่เหมาะสมกับการรับประทานอาหารที่มีความเหนียวและแข็ง เพราะอาจจะทำให้ฟันแตกหักได้ง่าย

– สะพานฟันยึดติดแมรี่แลนด์

จะเป็นการยึดติดกับฟันแท้บางส่วนโดยที่จะไม่ยึดติดทั้งซี่เหมือนการทำสะพานฟันแบบอื่นๆ โดยจะทำการยึดติดในส่วนของฟันหลังซี่ข้างเคียง โดยวิธีการนี้มีข้อดีคือไม่สูญเสียเนื้อฟันเยอะ แต่จะมีความอ่อนแอมากกว่าการทำสะพานฟันแบบอื่นๆ

เหตุผลที่ควรทำสะพานฟัน ?

– การทำสะพานฟันนั้นสามารถช่วยให้การบดเคี้ยวอาหารทำได้ดี

– สะพานฟันสามารถช่วยเสริมเรื่องบุคลิกภาพได้ เพราะ มีความคล้ายกับฟันตามธรรมชาติเป็นอย่างมาก เวลาพูดคุย หรือยิ้ม ไม่ต่างจากฟันแท้เลย

– สะพานฟันช่วยรักษาโครงสร้างใบหน้าให้เป็นปกติตามธรรมชาติ

– ป้องกันปัญหาการเกิดฟันล้มในอนาคต

– ช่วยในเรื่องการสบฟันให้เป็นปกติ

– สะพานฟันช่วยรักษาตำแหน่งของฟันให้เรียงตัวเป็นธรรมชาติ

ข้อจำกัดของการทำสะพานฟัน ?

การทำสะพานฟันนั้นถือเป็นการทำฟันเทียมที่ได้รับความนิยมมากๆ และทันตแพทย์มักแนะนำในผู้ที่สูญเสียฟันแท้ตามธรรมชาติไปย่างถาวร เนื่องด้วยการทำสะพานฟันนั้นมีความสะดวกในการใช้งานต่างจากฟันปลอมแบบถอดได้ที่นิยมใช้ในสมัยก่อน และด้วยที่การทำสะพานฟันนั้นมีราคาที่ไม่แพงมากนัก จึงเหมาะสมมากๆสำหรับบุคคลทั่วไป

แต่ถึงอย่างไรก็ตามการทำสะพานฟันนั้น ไม่ใช่ว่าสามารถทำได้เลยในทันที หากว่าท่านกำลังมีปัญหาโรคเหงือก ทันตแพทย์จะไม่แนะนำให้ทำสะพานฟันในทันที แต่จำเป็นอย่างมากที่จะต้องรักษาโรคเหงือกดังกล่าวให้หายสนิทเสียก่อน และการทำสะพานฟันนั้นท่านต้องทราบก่อนว่าจำเป็นต้องกรอเนื้อฟันซี่ข้างเคียงเพื่อใช้ทำเป็นหลักในการยึดติดของสะพานฟัน หากว่าเนื้อฟันของท่านน้อยหรือบางเกินไป ทันตแพทย์ก็จะไม่แนะนำให้ทำสะพานฟัน

สิ่งที่สำคัญที่สุดว่าสะพานฟันเหมาะสมกับท่านหรือไม่ก็คือ ท่านต้องถามตัวเองก่อนว่าเป็นคนที่ดูแลสุขภาพช่องปากได้ดีหรือไม่ เพราะ การทำสะพานฟันนั้นจะทำความสะอาดได้ยุ่งยากกว่าฟันตามธรรมชาติอย่างมาก เนื่องจากจะมีส่วนหนึ่งที่ลอยอยู่บนเหงือก อาจมีเศษอาหารเข้าไปติดได้ง่าย แต่สามารถกำจัดได้ด้วยการใช้ไหมขัดฟัน หากดูแลไม่ดีท่านอาจจะมีโอกาสเกิดฟันผุ และ กลิ่นปากได้ง่ายขึ้นอย่างมากนั่นเอง

12
บริการด้านอาหาร: อาหารบำรุงเลือด ป้องกันเลือดจาง

การรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ เป็นสิ่งที่สำคัญต่อร่างกายของคนเรา จำเป็นต่อการดำรงชีวิต อาหารเป็นสิ่งที่รับประทานเข้าไปแล้วมีประโยชน์ต่อร่างกายช่วยทำให้เรามีพลังงาน ทำให้ร่างกายเจริญเติบโตช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ช่วยควบคุมอวัยวะต่างๆของร่างกายให้ทำงานเป็นปกติ อาหารเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตของคนเรา ซึ่งในแต่ละวัยร่างกายต้องการอาหารในปริมาณและสารอาหารที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งเราควรรับประทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ ควรให้ได้ทั้งปริมาณทั้งคุณภาพ

ดังนั้น เราควรเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่จำเป็น เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดโรคต่างๆ ซึ่งอาหารก็ถือว่าเป็นยารักษาโรคอย่างหนึ่ง ถ้าหากเรารับประทานอาหารอย่างถูกต้อง ก็จะช่วยป้องกันอาการเจ็บป่วยได้ แถมยังช่วยบำรุงร่างกายของเราด้วย ซึ่งวันนี้ทางเราจะมาพูดถึงเรื่องของการรับประทานอาหารที่ช่วยบำรุงเลือด ป้องกันภาวะเลือดจางได้ ซึ่งอาการเลือดจาง มีสาเหตุของการเกิดโรคทั้งที่ควบคุมไม่ได้ และควบคุมได้ เช่น การขาดสารอาหารสำคัญที่ช่วยผลิตเม็ดเลือดแดงโดยเฉพาะธาตุเหล็ก คนที่มีภาวะเลือดจางจึงต้องให้ความสำคัญกับการรับประทานอาหารเพื่อส่งเสริมให้ร่างกายสร้างเม็ดเลือดแดงได้มากขึ้นนั่นเอง

  ซึ่งต้องบอกว่า สารอาหารและโภชนาการต่าง ๆ ที่เราบริโภคในชีวิตประจำวัน อาจมีส่วนช่วยในการบำรุงเลือดให้มีสุขภาพที่ดีได้ด้วย แม้ว่าสารอาหารบางอย่างจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกาย แต่ในแง่การบำรุงเลือดนั้น เราต้องรับประทานอย่างถูกต้อง โดยอาหารที่ช่วยบำรุงเลือดได้แก่ เนื้อปลา ซึ่งเป็นแหล่งอาหารที่มีโปรตีนสูงแต่ให้แคลอรี่ต่ำ และอุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 ซึ่งเป็นสารอาหารที่พบได้ในไขมันปลา โดยเฉพาะในปลาแซลมอน ทูน่า ซาร์ดีน แมคเคอเรล ควรรับประทานปลาในมื้ออาหารอย่างน้อย 1-2 ครั้ง/สัปดาห์ เพื่อให้ได้รับสารโอเมก้า-3 ในปริมาณที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย

นอกจากนี้ ควรรรับประทานธัญพืช ที่เป็นแหล่งอาหารที่อุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ ทั้งโปรตีน เส้นใยอาหาร วิตามินบี สารต้านอนุมูลอิสระ ธาตุเหล็ก สังกะสี ทองแดง และแมกนีเซียม โดยสามารถรับประทานธัญพืชได้อย่างหลากหลาย เช่น ขนมปังธัญพืช ถั่ว งา เมล็ดธัญพืชต่าง ๆ จมูกข้าว ข้าวกล้อง ข้าวฟ่าง เป็นต้น โดยการรับประทานธัญพืชร่วมกับเนื้อปลา มีผลทางการรักษาต่อกลุ่มอาการเมตาบอลิก ซึ่งเป็นภาวะความผิดปกติที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด พบว่าอาหารเหล่านี้จะทำให้เกิดไขมันดีในเลือด ช่วยป้องกันการสะสมของคอเลสเตอรอลในเลือด

ซึ่งจะนำไปสู่ภาวะหลอดเลือดแดงแข็งหรือโรคต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอุดตันสะสมของไขมันในเลือดได้ อย่างไรก็ตาม ประโยชน์จากเนื้อปลา ก็จะช่วยลดไขมันชนิดเลวในเลือดได้เช่นกัน ซึ่งเป็นผลดีในการป้องกันความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจ สำหรับการป้องกันความเสี่ยงการเกิดเลือดจาง ควรรับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง เพราะธาตุเหล็กเป็นส่วนประกอบของเม็ดเลือดแดง และช่วยสร้างเม็ดเลือดแดงในช่วงที่เสียเลือด เช่น ช่วงมีประจำเดือน ช่วงพักฟื้นหลังผ่าตัด เป็นต้น

หากขาดธาตุเหล็กจะทำให้เพิ่มความเสี่ยงเป็นโรคเลือดจาง โดยอาหารที่ควรรับประทานเพื่อช่วยป้องกันเลือดจางจากการขาดธาตุเหล็ก ได้แก่ เนื้อวัว เนื้อไก่ ตับ ปลาแซมอน ปลาทูน่า ปลาซาร์ดีน ฟักทอง งา ซีเรียล เป็นต้น และที่สำคัญต้องรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงสมบูรณ์อยู่เสมอ เพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงในการเกิดอาการป่วยหรือโรคภัยต่าง ๆ ด้วยการรับประทานอาหารอย่างถูกสุขลักษณะ มีประโยชน์ทางโภชนาการในปริมาณที่เหมาะสม ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

 อย่างไรก็ตาม เราควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เพราะทางเราเน้นย้ำมาตลอดให้ทุกคนเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ในปริมาณที่เหมาะสมต่อความต้องการของร่างกาย เพื่อให้ห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บ ที่สำคัญเราจะต้องดูแลตัวเองให้มากๆ ดื่มน้ำมากๆ และต้องคชตระหนักถึงความปลอดภัยของสุขภาพร่างกายของเราในสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงอยู่ในขณะนี้ นั่นก็คือ การแพร่ระบาดของโควิด-19 ยิ่งถ้าเรามีภูมิคุ้มกันที่ดี แข็งแรง ก็จะช่วยทำให้เราลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ หรือลดความเสี่ยงของอาการเจ็บป่วยได้ ดังนั้น เราจะต้องเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ในปริมาณที่เหมาะสมต่อความต้องการของร่างกาย เพื่อให้เราห่างไกลจากโรค

13
หมอประจำบ้าน: โรคขาอยู่ไม่สุข (Restless legs syndrome/RLS)

โรคขาอยู่ไม่สุข* เป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของระบบประสาท ทำให้มีอาการขยับขาหรือขากระตุก ซึ่งเกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ

พบได้ในคนทุกวัย ตั้งแต่วัยเด็ก และพบมากขึ้นตามอายุ พบมากในช่วงวัยกลางคน ผู้หญิงเป็นมากกว่าผู้ชาย และอาการมักรุนแรงกว่า

ผู้ป่วยประมาณร้อยละ 50 โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มที่มีอาการตั้งแต่อายุน้อยกว่า 40 ปี มีประวัติว่ามีพ่อแม่พี่น้องเป็นโรคนี้ด้วย ซึ่งเนื่องมาจากมีกรรมพันธุ์ที่ผิดปกติ

*มีอีกชื่อหนึ่งว่า Willis-Ekbom disease

สาเหตุ

ส่วนใหญ่เกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ สันนิษฐานว่าอาจเกี่ยวกับสมองผลิตสารสื่อประสาทที่มีชื่อว่า โดพามีน (dopamine) ได้น้อยกว่าปกติ ซึ่งเชื่อว่าเกี่ยวข้องกับปัจจัยทางกรรมพันธุ์ (พบว่าผู้ป่วยบางรายมียีนผิดปกติที่ถ่ายทอดให้ลูกหลานได้)

สารโดพามีนเกี่ยวข้องกับการควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ เมื่อมีน้อยกว่าปกติก็จะทำให้กล้ามเนื้อเกร็งและเคลื่อนไหวโดยอัตโนมัติ โดยปกติโดพามีนจะลดระดับลงในช่วงเย็น ๆ ดังนั้นโรคนี้จึงมักมีอาการเกิดขึ้นในช่วงเย็น ๆ ค่ำ ๆ และตอนกลางคืน

ส่วนน้อยอาจพบว่ามีสาเหตุ คือ พบร่วมหรือเป็นภาวะแทรกซ้อนของโรคอื่น ๆ  อาทิ

    ภาวะขาดธาตุเหล็ก (เช่น มีเลือดออก มีประจำเดือนออกมาก) ซึ่งอาจทำให้เกิดมีภาวะโลหิตจางหรือไม่ก็ได้ ภาวะขาดธาตุเหล็กทำให้โดพามีนลดลง จึงทำให้เกิดโรคขาอยู่ไม่สุขได้
    ผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง ซึ่งมักมีภาวะขาดธาตุเหล็กและโลหิตจาง
    ผู้ที่มีภาวะปลายประสาท (ที่แขนขา) เสื่อม ซึ่งอาจเป็นภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน หรือโรคพิษสุราเรื้อรัง
    โรคพาร์กินสัน
    ไขสันหลังได้รับบาดเจ็บ หรือการฉีดยาชาเข้าไขสันหลังระหว่างผ่าตัด
    หญิงบางคนอาจมีอาการนี้ระหว่างตั้งครรภ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในไตรมาสที่ 3 และหลังคลอดอาการจะหายไปได้เอง
    นอกจากนี้พบว่ามียาบางชนิดที่ทำให้อาการรุนแรงขึ้น เช่น ยาแก้แพ้ แก้อาเจียน ยาต้านซึมเศร้า ยาทางจิตประสาท

อาการ

ผู้ป่วยมีความรู้สึกแปลก ๆ ที่ขา เช่น รู้สึกคัน แสบร้อน รู้สึกยิบ ๆ เหมือนมีตัวอะไรไต่ที่ขา รู้สึกปวดตุบ ๆ เจ็บจี๊ด ๆ คล้ายถูกเข็มแทง รู้สึกว่าถูกดึงขา เป็นต้น บางคนอาจบรรยายลักษณะอาการไม่ถูก และมักบอกว่าไม่เหมือนเป็นเหน็บชาหรือเป็นตะคริว ผู้ป่วยมักบอกว่ามีความรู้สึกที่ทนไม่ได้และจะต้องขยับขาเพื่อให้ความรู้สึกนั้นหายไป

บางรายอาจมีอาการที่บริเวณอื่น (เช่น แขน หน้าอก ศีรษะ ใบหน้า) ร่วมด้วยก็ได้ ส่วนใหญ่มักเป็นที่ขา 2 ข้าง อาจเป็นข้างหนึ่งก่อนแล้วเป็นอีกข้างตามมา หรืออาจเป็นเพียงข้างเดียว

มักเป็นในช่วงเวลานั่งนิ่ง ๆ นาน ๆ (เช่น ระหว่างอยู่ในห้องประชุม ชมภาพยนตร์ นั่งรถ หรือเครื่องบิน) หรือเวลานอน มักเป็นมากในช่วงเย็น ๆ ค่ำ ๆ จนถึงกลางดึก อาการมักน้อยลงในช่วงย่ำรุ่ง และเวลานวดคลึงหรือเคลื่อนไหวขา (เช่น ยืดเหยียดขา ขยับขาไปมา ก้าวเดิน) อาการมักจะทุเลาลง

อาการที่เป็นแต่ละครั้งมีความรุนแรงไม่เท่ากัน บางครั้งอาจเป็นเพียงเล็กน้อย บางครั้งอาจรุนแรงถึงทำให้นอนไม่หลับ อาจมีอาการทุกวัน หรืออาจเป็น ๆ หาย ๆ เป็นครั้งคราว

ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักมีภาวะขากระตุกขณะนอนหลับ (periodic limb movement disorder/PLMD) ร่วมด้วย โดยมักมีอาการขากระตุกโดยอัตโนมัติตอนนอนหลับเป็นครั้งคราว แต่ละคราวมักมีอาการกระตุกซ้ำ ๆ ทุก 20-40 วินาที บางครั้งอาจรุนแรงถึงทำให้ตื่นขึ้น

ภาวะแทรกซ้อน

โรคนี้มักไม่มีภาวะแทรกซ้อนรุนแรง ส่วนใหญ่จะทำให้มีปัญหานอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ เนื่องจากมีอาการตื่นกลางดึก หรือหลับ ๆ ตื่น ๆ ตลอดคืน ส่งผลให้กลางวันง่วงนอน ทำงานไม่ได้เต็มที่

ในรายที่มีอาการรุนแรงทำให้สูญเสียคุณภาพชีวิต และเกิดภาวะซึมเศร้า


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย (สอบถามจากคนใกล้ชิดในบ้านที่สังเกตเห็นอาการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ผู้ป่วยนอนหลับ) และการตรวจร่างกายเป็นหลัก

หากสงสัยมีโรคอื่นร่วมด้วย แพทย์จะทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น ตรวจเลือด (ดูภาวะโลหิตจาง ระดับน้ำตาลในเลือด) ตรวจทางระบบประสาท

หากสงสัยมีภาวะนอนไม่หลับจากสาเหตุอื่น เช่น ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ อาจจำเป็นต้องทำการตรวจความผิดปกติระหว่างการนอนหลับด้วยวิธี "Polysomnography"

การรักษาโดยแพทย์

1. แพทย์จะให้คำแนะนำให้ผู้ป่วยปฏิบัติตัวในการดูแลตนเอง

2. ถ้ารุนแรง แพทย์จะให้ยาควบคุมอาการ เช่น ยากระตุ้นโดพามีน (เช่น rotigotine, pramipexole) ยากันชัก (เช่น carbamazepine, gabapentin, enacarbil, pregabalin) ยาทางจิตประสาท เป็นต้น

3. ถ้ามีสาเหตุชัดเจน ก็จะให้การรักษาตามสาเหตุที่พบ เช่น ให้ยาบำรุงโลหิต ในรายที่มีภาวะขาดธาตุเหล็ก, ให้ยารักษาโรคเบาหวาน, พาร์กินสัน เป็นต้น

ผลการรักษา ส่วนใหญ่ช่วยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี ดำเนินชีวิตได้เป็นปกติ บางรายปลอดจากอาการนานเป็นปี ๆ บางรายอาจมีอาการกำเริบใหม่ หรือเมื่ออายุมากขึ้นอาจมีอาการมากขึ้น

การดูแลตนเอง

หากมีอาการที่สงสัยว่าเป็นโรคขาอยู่ไม่สุข ควรปรึกษาแพทย์ เมื่อแพทย์ตรวจพบว่าเป็นโรคนี้ ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    ดูแลรักษา ปฏิบัติตัว และติดตามการรักษาตามที่แพทย์แนะนำ
    ปฏิบัติตัวด้วยวิธีต่าง ๆ ที่ช่วยให้อาการดีขึ้น เช่น การยืดเหยียดเท้าหรือขาที่มีอาการ การลุกขึ้นเดินไปมา การบีบนวด การแช่เท้าในน้ำอุ่น การประคบด้วยความร้อนหรือความเย็น การนวดด้วยเครื่องสั่น (vibration) เป็นต้น
    นอนหลับให้เพียงพอ
    ออกกำลังกายที่ไม่หักโหมมาก เช่น เดินเร็ว วิ่งเหยาะ ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ
    หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ และการดื่มชา กาแฟ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
    หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่ทำให้เกิดอาการ

ควรกลับไปปรึกษาแพทย์ ถ้าอาการไม่ทุเลาใน 2-3 สัปดาห์ หรือหลังทุเลาดีแล้วกลับมีอาการกำเริบใหม่ หรือมีอาการที่สงสัยว่าเป็นผลข้างเคียงจากยาหรือแพ้ยา

การป้องกัน

ส่วนใหญ่ยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผล

อาจลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรค โดยการป้องกันหรือรักษาโรคที่เป็นสาเหตุ เช่น ภาวะขาดธาตุเหล็ก เบาหวาน ไตวายเรื้อรัง พาร์กินสัน

ข้อแนะนำ

โรคนี้มักเป็นเรื้อรังไม่หายขาด แต่ไม่มีภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง ยกเว้นอาจทำให้นอนไม่หลับ หรือเกิดภาวะซึมเศร้า ควรดูแลรักษาอย่างจริงจังก็จะช่วยให้อาการทุเลาและมีคุณภาพชีวิตที่ดี

14
คอนโดติดรถไฟฟ้า แอทโมซ โฟลว์ มีนบุรี (Atmoz Flow Minburi)
เริ่มต้น 1.69 ลบ.

แอทโมซ โฟลว์ มีนบุรี (Atmoz Flow Minburi)
คอนโดมิเนียมที่เรียกว่าเป็น The most leisure condo ทำเลศักยภาพใจกลางมีนบุรี ถือว่าเป็น Center of Eastern CBD ใกล้รถไฟฟ้าสายสีชมพู สถานีเศรษฐบุตรบำเพ็ญ และใกล้จุดเชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายสีส้ม โดดเด่นด้วยพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ ใกล้ชิดธรรมชาติ พร้อม Lifestyle Mall ครบวงจรที่ตอบโจทย์ในหนึ่งเดียว

 รายละเอียดโครงการ
 ชื่อโครงการ            แอทโมซ โฟลว์ มีนบุรี (Atmoz Flow Minburi)
 เจ้าของโครงการ      แอสเซทไวส์
 แบรนด์ย่อย           แอทโมซ
 ราคา                  เริ่มต้น 1.69 ลบ.
 ราคาเฉลี่ยต่อตร.ม.      โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ลักษณะทำเล             คอนโดใกล้ขนส่งสาธารณะ
 ความสูงคอนโด           Low Rise (ไม่เกิน 8 ชั้น)
 ลักษณะกรรมสิทธิ์        โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ประเภทห้องที่มี           1 ห้องนอน
 ขนาดห้องที่มี             ตั้งแต่ 23.00 ถึง 32.00 ตร.ม.
 เนื้อที่ทั้งหมด             6 ไร่ 12 ตร.ว.
 จำนวนตึก                 3 อาคาร
 จำนวนชั้น                8 ชั้น
 จำนวนห้อง             739 ยูนิต
 ที่จอดรถทั้งหมด      โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ค่าบำรุงส่วนกลาง    โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 สาธารณูปโภค        สระว่ายน้ำ, ฟิตเนส, อื่นๆ (Open air Library Lounge, Game room, Salon & Nail+Spa, Live Studio, Slow Bar, Party Lounge, Gym), ห้องสมุด, Co-Working Space

 สถานที่ใกล้เคียง
 โซน       มีนบุรี, หนองจอก, ลาดกระบัง, บึงกุ่ม
 ที่ตั้ง       94 ถนน สีหบุรานุกิจ มีนบุรี กรุงเทพมหานคร 10510

 ขนส่งสาธารณะ
รถไฟฟ้า:       ใกล้รถไฟฟ้า, รถไฟฟ้าสายสีชมพู, สถานี(แคราย - มีนบุรี)(เศรษฐบุตรบำเพ็ญ)

 สถานที่สำคัญใกล้เคียง
Big C สุวินทวงศ์
ตลาดมีนบุรี
Lotus’s สุวินทวงศ์
Makro รามอินทรา
Amorini
Big C สุขาภิบาล 3
The Promenade
Fashion Island
โรงเรียนเอกบูรพา วิเทศศึกษา
โรงเรียนพณิชยการ มีนบุรี
โรงเรียนสุดใจวิทยา
โรงเรียนบางชันปลื้มวิทยานุสรณ์
โรงเรียนสตรีเศรษฐบุตรบำเพ็ญ
มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต
โรงพยาบาลเสรีรักษ์
โรงพยาบาลนวมินทร์
โรงพยาบาลนวมินทร์ 9
โรงพยาบาลนพรัตน์ราชธานี
โรงพยาบาลสินแพทย์

15
โปรแกรมหมอประจำบ้านอัจริยะ: ตับแข็ง (Cirrhosis)

ตับแข็ง เป็นโรคตับเรื้อรังที่เซลล์ตับจำนวนมากถูกทำลายอย่างถาวร จนกลายเป็นเยื่อพังผืด (fibrotic tissue) ที่มีลักษณะแข็งกว่าปกติ ตับไม่อาจทำหน้าที่ได้เป็นปกติ ทำให้มีการเพิ่มขึ้นของระดับฮอร์โมนเอสโทรเจนที่ร่างกายสร้างตามธรรมชาติ (เป็นเหตุทำให้มีอาการฝ่ามือแดง จุดแดงรูปแมงมุม นมโตและอัณฑะฝ่อในผู้ชาย) การคั่งของสารบิลิรูบิน (ทำให้ดีซ่าน) การสังเคราะห์สารที่ช่วยห้ามเลือดได้น้อยลง (มีภาวะเลือดออกง่าย) มีภาวะความดันในหลอดเลือดดำของตับสูง (ทำให้ท้องมาน หรือมีน้ำคั่งในช่องท้อง หลอดเลือดขอดที่หลอดอาหาร ริดสีดวงทวาร) ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงของระบบต่าง ๆ (เช่น ระบบการย่อยและการเผาผลาญอาหาร การแข็งตัวของเลือด การกำจัดยา สารพิษและสารต่างๆ ระบบภูมิคุ้มกันโรค เป็นต้น) 

อาการแรกเริ่มมักเกิดในช่วงอายุระหว่าง 40-60 ปี แต่ถ้าพบในคนอายุน้อยอาจเกิดจากโรคตับอักเสบจากไวรัสชนิดรุนแรง จากการใช้ยาผิด หรือสารเคมีบางชนิด

สาเหตุ

เซลล์ตับถูกทำลาย ซึ่งมีสาเหตุที่พบบ่อย ได้แก่ 

    การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบีและซี จนกลายเป็นโรคตับอักเสบเรื้อรัง
    การดื่มแอลกอฮอล์จัดติดต่อกันเป็นเวลานาน (เป็นแรมปี) ยิ่งดื่มมากยิ่งเสี่ยงมาก และผู้หญิงที่ดื่มสุรามีความเสี่ยงที่จะเป็นตับแข็งมากกว่าผู้ชาย เนื่องจากร่างกายมีการเผาผลาญแอลกอฮอล์แตกต่างกันระหว่างชายกับหญิง ทำให้ผู้หญิงรับพิษจากแอลกอฮอล์มากกว่าผู้ชาย

นอกจากนี้ ยังอาจเกิดจากภาวะไขมันสะสมในตับ (fatty liver)* การใช้ยาเกินขนาด (เช่น พาราเซตามอล เตตราไซคลีน ไอเอ็นเอช ไรแฟมพิซิน เมโทเทรกเซต AZT) ภาวะขาดอาหาร หรือเป็นภาวะแทรกซ้อนของโรคต่าง ๆ (เช่น ทาลัสซีเมีย ภาวะหัวใจวายเรื้อรัง ภาวะทางเดินน้ำดีอุดกั้น หรือท่อน้ำดีตีบตัน ตับอักเสบเรื้อรังจากปฏิกิริยาภูมิต้านตนเอง) หรือจากพิษของสารเคมีบางชนิด (เช่น คลอโรฟอร์ม คาร์บอนเตตราคลอไรด์ สารโลหะหนัก)

*พบในผู้ป่วยเบาหวาน ภาวะไขมันในเลือดสูง กลุ่มอาการเมตาบอลิก** คนอ้วน ผู้ที่ขาดอาหาร ดื่มแอลกอฮอล์จัด หรือใช้ยาสเตียรอยด์นาน ๆ

**กลุ่มอาการเมตาบอลิก (metabolic syndrome หรือเดิมเรียกว่า syndrome X) ประกอบด้วย ภาวะเสี่ยงอย่างน้อย 3 ข้อ จาก 5 ข้อต่อไปนี้

1. ความดันโลหิตช่วงบน ≥ 130 มม.ปรอท และ/หรือความดันโลหิตช่วงล่าง ≥ 85 มม.ปรอท หรือกินยารักษาความดันโลหิตสูงอยู่

2. ระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหาร 8 ชั่วโมง (FPG) ≥ 100 มก./ดล.

3. เส้นรอบเอว ≥ 90 ซม. ในผู้ชาย หรือ ≥ 80 ซม. ในผู้หญิง

4. ระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือด ≥ 150 มก./ดล.

5. ระดับเอชดีแอลคอเลสเตอรอลในเลือด < 40 มก./ดล. ในผู้ชาย หรือ < 50 มก./ดล. ในผู้หญิง

กลุ่มอาการเมตาบอลิก พบได้มากขึ้นตามอายุ (อายุมากกว่า 60 ปี อาจพบมากถึงร้อยละ 40) และพบในผู้ที่มีน้ำหนักตัวมาก (ดัชนีมวลกาย ≥ 25 กก./ตร.ม. พบได้ประมาณร้อยละ 20 ≥ 30 กก./ตร.ม. พบได้มากกว่าร้อยละ 50)

ผู้ที่มีกลุ่มอาการเมตาบอลิกมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด และภาวะไขมันสะสมในตับ (fatty liver) ซึ่งอาจกลายเป็นตับอักเสบที่เรียกว่า “Non-aloholic steatohepatitis/NASH” ซึ่งในที่สุดอาจกลายเป็นตับแข็งและมะเร็งตับได้

การรักษา ปรับพฤติกรรมแบบเดียวกับโรคเบาหวาน ไขมันในเลือดผิดปกติ ความดันโลหิตสูง ถ้าจำเป็นอาจต้องให้ยาควบคุมปัจจัยเสี่ยงที่พบ

อาการ

ระยะแรกเริ่ม อาจไม่มีอาการผิดปกติชัดเจน หรือมีเพียงอาการท้องอืด ท้องเฟ้อคล้ายอาหารไม่ย่อย ต่อมาเป็นแรมปีอาจเริ่มรู้สึกอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียนเป็นบางครั้ง น้ำหนักลด เท้าบวม

อาจรู้สึกเจ็บบริเวณชายโครงขวาเล็กน้อย ตาเหลือง คันตามผิวหนัง ความรู้สึกทางเพศลดลง

บางรายอาจสังเกตเห็นฝ่ามือแดงผิดปกติ หรือมีจุดแดงที่หน้าอก หน้าท้อง

ในผู้หญิงอาจมีอาการประจำเดือนขาดหรือมาไม่สม่ำเสมอ มีหนวดขึ้น หรือมีเสียงแหบห้าวคล้ายผู้ชาย

ในผู้ชายอาจรู้สึกนมโตและเจ็บ (gynecomastia) อัณฑะฝ่อตัว หรือมีภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ หรือองคชาตไม่แข็งตัว (erectile dysfunction/ED)

ในระยะท้ายของโรค (หลังเป็นอยู่หลายปี หรือยังดื่มแอลกอฮอล์จัด) จะมีอาการท้องมาน เท้าบวมหลอดเลือดขอดที่ขา หลอดเลือดพองที่หน้าท้อง อาจอาเจียนเป็นเลือดสด ๆ เนื่องจากหลอดเลือดขอดที่หลอดอาหาร (esophageal varices) แล้วแตก ซึ่งอาจถึงช็อกและตายได้

ผู้ป่วยมักจะลงเอยด้วยอาการซึม เพ้อ มือสั่น และค่อย ๆ ไม่รู้สึกตัว จนกระทั่งหมดสติ


ภาวะแทรกซ้อน

เกิดภาวะขาดอาหาร น้ำหนักลด ผอมแห้ง เป็นตะคริวง่าย กระดูกพรุนและหักง่าย ภูมิคุ้มกันโรคลดลงทำให้เป็นโรคติดเชื้อได้ง่าย (เช่น ไข้หวัดใหญ่ ปอดบวม วัณโรค เยื่อบุช่องท้องอักเสบ)

ถ้าเป็นเรื้อรัง จะมีภาวะเลือดออกง่ายและหยุดยาก เนื่องเพราะตับไม่สามารถสร้างปัจจัยการแข็งตัวของเลือด (clotting factors) ทำให้กระบวนการแข็งตัวของเลือดบกพร่อง

ที่ร้ายแรง จะมีอาการอาเจียนเป็นเลือด เนื่องจากหลอดเลือดขอดที่หลอดอาหาร (esophageal varices) แล้วแตก ซึ่งบางรายอาจรุนแรงถึงช็อกและตายได้

ในผู้ป่วยที่เป็นตับแข็งระยะรุนแรง อาจมีภาวะไตวายแทรกซ้อน

ในระยะสุดท้ายเมื่อตับทำงานไม่ได้ (ตับวาย) ก็จะเกิดอาการทางสมอง (hepatic encephalopathy) ในที่สุดมีอาการหมดสติ เรียกว่า ภาวะหมดสติจากตับวาย (hepatic coma)

นอกจากนี้ยังพบว่ามีโอกาสเป็นมะเร็งเซลล์ตับสูงกว่าคนปกติ


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกาย ซึ่งมีสิ่งตรวจพบ ดังนี้

ฝ่ามือแดง มีจุดแดงรูปแมงมุมที่หน้าอก หน้าท้อง จมูก ต้นแขน เท้าบวม ท้องบวม
อาจมีอาการตาเหลืองเล็กน้อยหรือไม่มีก็ได้
อาจมีไข้ต่ำ ๆ ต่อมน้ำลายข้างหู (parotid gland) โตคล้ายคางทูม หรือมีอาการขนร่วง
ในผู้ชายอาจพบอาการนมโตและเจ็บ
อาจคลำตับได้ มีลักษณะค่อนข้างแข็ง ผิวเรียบ
ถ้าเป็นมาก จะพบว่ารูปร่างผอมแห้ง ซีด ท้องโตมาก หลอดเลือดพองที่หน้าท้อง มือสั่น ม้ามโต นิ้วปุ้ม มีจุดแดงจ้ำเขียวตามผิวหนัง
แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการตรวจเลือด (ทดสอบการทำงานของตับและหาเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและซี) อัลตราซาวนด์ เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ สแกนตับ
บางรายแพทย์อาจทำการตรวจวัดปริมาณพังผืดในตับ (ด้วยเทคนิคที่เรียกว่า “Transient elastography” โดยการใช้เครื่องอัลตราซาวนด์พิเศษ–“Fibroscan”) หรือทำการตรวจชิ้นเนื้อตับ เป็นต้น

การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษาดังนี้

1. ถ้าเป็นตับแข็งในระยะแรกเริ่ม แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

    ให้การรักษาตามอาการ และบำรุงร่างกายด้วยอาหาร และวิตามินเกลือแร่เพื่อป้องกันและแก้ไขภาวะขาดสารอาหาร (เช่น ถ้ามีภาวะซีดจากการขาดธาตุเหล็ก ก็ให้ยาเม็ดบำรุงโลหิต)
    ข้อสำคัญผู้ป่วยที่ดื่มแอลกอฮอล์ต้องงดดื่มโดยเด็ดขาด และหลีกเลี่ยงหรือระมัดระวังการใช้ยาที่อาจมีผลกระทบต่อตับ 
    ถ้าพบสาเหตุของตับแข็ง ก็ให้บำบัดแก้ไข เช่น ถ้าเกิดจากการดื่มสุราจัด ก็จะทำการบำบัดให้เลิกสุรา ถ้าเกิดจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีหรือซี ก็จะให้ยาต้านไวรัส
    ป้องกันการติดเชื้อด้วยการฉีดวัคซีนป้องกันตับอักเสบ ไข้หวัดใหญ่ ปอดอักเสบ
    ถ้ามีอาการบวมหรือท้องมาน (มีน้ำในท้อง) ก็ให้ยาขับปัสสาวะ งดอาหารเค็ม จำกัดปริมาณน้ำที่ดื่ม
    ทำการตรวจกรองมะเร็งตับระยะแรกด้วยการตรวจเลือด (รวมทั้งดูระดับของสารแอลฟาฟีโตโปรตีนในเลือด) และการตรวจอัลตราซาวนด์ ทุก 6 เดือน

2. ถ้ามีโรคติดเชื้อ (เช่น ไข้หวัดใหญ่ ปอดอักเสบ) อาการซึม เพ้อ ไม่ค่อยรู้ตัว ไตวาย อาเจียนเป็นเลือด หรือมีเลือดออกตามที่ต่าง ๆ แพทย์จะรับตัวไว้ในโรงพยาบาล แพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะ/ยาต้านไวรัส (ถ้ามีโรคติดเชื้อแบคทีเรีย/ไวรัส) ให้เลือด (ถ้าเสียเลือด) ล้างไต (ถ้ามีภาวะไตวาย) และรักษาภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ที่ตรวจพบ

ผู้ป่วยอาจต้องเข้า ๆ ออก ๆ โรงพยาบาลเป็นประจำ จนในที่สุดมักจะเสียชีวิตจากภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น ตกเลือด ภาวะตับวาย โรคติดเชื้อ เป็นต้น

3. แพทย์อาจพิจารณาทำการปลูกถ่ายตับในผู้ป่วยตับแข็งบางราย ซึ่งช่วยให้สามารถมีชีวิตยืนยาว


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการตาเหลืองตัวเหลือง อ่อนเพลีย ปวดเสียดใต้ชายโครงขวา หรือพบฝ่ามือแดง จุดแดงรูปแมงมุม เป็นต้น ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นตับแข็ง ควรดูแลตนเอง ดังนี้

1. ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์

    ห้ามดื่มแอลกอฮอล์โดยเด็ดขาด เพื่อป้องกันมิให้เซลล์ตับส่วนที่ยังดีอยู่ถูกทำลายมากขึ้น หากเป็นโรคตับแข็งในระยะแรกเริ่ม ก็จะช่วยให้มีชีวิตอยู่ได้ยาวนาน
    กินอาหารพวกแป้งและของหวาน ผัก ผลไม้สด และอาหารพวกโปรตีนเป็นประจำ ยกเว้นในระยะท้ายของโรค ที่เริ่มมีอาการทางสมองร่วมด้วย จำเป็นต้องลดอาหารพวกโปรตีนลงเหลือวันละ 30 กรัม เพราะอาจสลายตัวเป็นสารแอมโมเนียที่มีผลต่อสมอง
    ถ้ามีอาการบวมหรือท้องมาน ควรงดอาหารเค็ม และห้ามดื่มน้ำเกินวันละ 2 ขวดกลมหรือ 6 ถ้วย (1‚500 มล.)
    หลีกเลี่ยงการใช้ยาและสมุนไพรด้วยตัวเอง เพราะอาจมีพิษต่อตับมากขึ้น ถ้าจะใช้ ควรปรึกษาแพทย์ก่อน
    รักษาร่างกายให้แข็งแรงด้วยการออกกำลังกายตามที่ร่างกายจะอำนวย นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ หาทางผ่อนคลายความเครียด ไม่สูบบุหรี่ สร้างสุขนิสัยในการป้องกันโรคติดเชื้อทางเดินหายใจและทางเดินอาหาร (เช่น สวมหน้ากากอนามัยเมื่อเข้าไปในที่ ๆ มีคนแออัด หรือมีการระบาดของไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ หมั่นล้างมือด้วยน้ำกับสบู่หรือชโลมมือด้วยแอลกอฮอล์ เป็นต้น)

2. ติดต่อรักษากับแพทย์ตามนัด อาจต้องตรวจเลือดและอื่น ๆ เพื่อดูการเปลี่ยนแปลงของโรคเป็นระยะ ๆ

3. ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด

    ถ้ามีอาการไข้ ปวดท้องมาก ซึมมาก เพ้อ อ่อนเพลียมาก กินไม่ได้ อาเจียนเป็นเลือด หรือมีเลือดออกตรงส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย หรือมีอาการที่ชวนให้รู้สึกวิตกกังวล
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินที่บ้าน ถ้ากินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ

การป้องกัน

1. หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากหรือติดต่อกันนาน ๆ และถ้าตรวจพบว่าเป็นพาหะของเชื้อไวรัสตับอักเสบบีหรือซี ควรงดดื่มโดยเด็ดขาด

2. ฉีดวัคซีนป้องกันโรคตับอักเสบจากไวรัสบี ตั้งแต่แรกเกิด

3. ระมัดระวังในการใช้ยาที่อาจมีพิษต่อตับ

4. ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะไขมันสะสมในตับ ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดตับแข็ง

ข้อแนะนำ

1. โรคนี้ถ้าเป็นระยะแรกเริ่ม และปฏิบัติตัวได้เหมาะสม จะสามารถมีชีวิตได้นานเกิน 5-10 ปีขึ้นไป แต่ถ้าปล่อยให้มีภาวะแทรกซ้อนชัดเจน เช่น ดีซ่าน ท้องมาน อาเจียนเป็นเลือด ก็อาจอยู่ได้ 2-5 ปี (ประมาณ 1 ใน 3 อาจอยู่ได้เกิน 5 ปี)

2. ผู้ป่วยตับแข็งที่ตรวจพบเชื้อไวรัสตับอักเสบบีหรือซี ควรตรวจเลือดหาสารแอลฟาฟีโตโปรตีน (alphafetoprotein) ทุก 3-6 เดือน เพื่อตรวจกรองหาโรคมะเร็งตับระยะแรกเริ่ม เพราะเป็นกลุ่มที่เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งชนิดนี้สูง

หน้า: [1] 2 3 ... 24
ลงประกาศฟรี โฆษณาฟรี ลงประกาศขายบ้านฟรี ลงประกาศขายบ้าน ขายที่ดิน ขายคอนโด ขายรถ สินค้าอุตสาหกรรม อาหารเสริม เครื่องสำอางค์ แนะนำสถานที่ท่องเที่ยว โปรโมทสินค้าฟรี เว็บประกาศฟรี ติดอันดับ Google