แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 35
1
ไวรัสตับอักเสบ ภัยเงียบที่มักถูกละเลย...แต่อันตรายถึงชีวิต!!

เมื่อติดเชื้อไวรัสเข้าสู่เซลล์ตับจะก่อให้เกิดภาวะตับอักเสบ ส่งผลให้ตับทำงานผิดปกติ มีอาการตับบวมโต อ่อนเพลีย ซึ่งไวรัสตับอักเสบมีหลายชนิด ได้แก่ ไวรัสตับอักเสบเอ, บี, ซี, ดี, อี เป็นต้น แต่ที่พบบ่อยและเป็นปัญหาสำคัญทางสาธารณสุขประเทศไทย ได้แก่ ไวรัสตับอักเสบเอ ไวรัสตับอักเสบบี และ ไวรัสตับอักเสบซี

 ร่างกายรับเชื้อไวรัสตับอักเสบได้อย่างไร

    จากกลุ่มผู้ที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบอยู่ในร่างกายแต่ไม่แสดงอาการ สามารถแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่นได้ เรียกว่า พาหะ (Carrier) ซึ่งพาหะมักเป็นได้กับเชื้อไวรัสตับอักเสบบี และไวรัสตับอักเสบซี เท่านั้น
    ไวรัสตับอักเสบเอและอี ติดต่อทางอาหาร น้ำดื่ม การสัมผัสอุจจาระ ฉะนั้นการป้องกันควรดื่มน้ำต้มสุก อาหารปรุงสุก ล้างมือให้สะอาด ผักผลไม้ล้างให้สะอาด ยังไม่มีวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบอี ส่วนไวรัสตับอักเสบเอมีวัคซีนป้องกัน ที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัย
    ไวรัสตับอักเสบบีและซี แพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่นได้โดยทางเพศสัมพันธ์ ทางเลือด เช่น เจ้าหน้าที่พยาบาลถูกเข็มฉีดยาที่มีเชื้อไวรัสตำมือ ผู้ที่ติดยาเสพติดแล้วใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน เป็นต้น
    การติดเชื้อจากแม่สู่ลูกสำหรับเชื้อไวรัสตับอักเสบบี มีโอกาสสูงมาก แต่ปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี ฉีดให้ทารกหลังคลอดทุกราย ทำให้ป้องกันการติดต่อจากแม่สู่ลูกได้ดีมาก

อาการเหล่านี้..คือสัญญาณเตือนของโรคตับอักเสบเฉียบพลัน

ไม่ว่าจะเกิดจากไวรัสตับอักเสบชนิดไหน จะมีอาการคล้ายกัน…แต่น้อยหรือมากขึ้นอยู่กับปริมาณของเชื้อไวรัสที่ร่างกายได้รับ และสภาพร่างกายดั้งเดิมของผู้ป่วย ซึ่งอาการโดยมากที่พบ ได้แก่ อาการอ่อนเพลีย จุกแน่นใต้ชายโครงขวา ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดตามข้อ คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร ท้องเสีย ปัสสาวะสีเข้ม ตัวเหลือง ตาเหลือง ประมาณ 1 – 4 สัปดาห์ อาการตัวเหลือง ตาเหลืองจะหายไป

 แต่หากมีอาการเหล่านี้…คุณอาจกำลังเป็น “ตับอักเสบเรื้อรัง”

เชื้อไวรัสที่ทำให้ตับอักเสบเรื้อรัง มี 2 ชนิด คือ เชื้อไวรัสตับอักเสบบี และซี มักไม่แสดงอาการ บางรายอาจรู้สึกอ่อนเพลีย คลื่นไส้อาเจียนบ้างในช่วงที่มีภาวะตับอักเสบ การติดเชื้อไวรัสจะทำให้เกิดการทำลายของเซลล์ตับทีละน้อยจนเกิดภาวะตับแข็งและเพิ่มโอกาสในการเกิดมะเร็ง สามารถตรวจดูการอักเสบของตับได้จากการตรวจเลือด อาการตับแข็งและมะเร็งตับ ในระยะแรกไม่มีอาการแต่อาจมีอาการเพลียบ้าง มักมาพบแพทย์ด้วยภาวะแทรกซ้อน เช่น ท้องบวม เท้าบวม อาเจียนเป็นเลือด ตัวตาเหลือง

 ไวรัสตับอักเสบ เมื่อติดเชื้อแล้ว…ต้องรีบรักษา

    ไวรัสตับอักเสบเอ บี ชนิดเฉียบพลัน และอีส่วนใหญ่ แพทย์จะรักษาแบบประคับประคองรักษาตามอาการ เน้นการรักษาเพื่อลดการอักเสบของตับ เช่น รับประทานอาหารได้น้อย อ่อนเพลียอาจจะให้น้ำเกลือ ฃ
    แนะนำการปฏิบัติตัว ได้แก่ การพักผ่อนมากๆในช่วงที่มีอาการอ่อนเพลีย สามารถทำกิจกรรมที่ไม่ต้องออกแรงมาก การรับประทานอาหารอย่างพอเพียง หลีกเลี่ยง อาหารไขมันสูง งดแอลกอฮอล์ และหลีกเลี่ยงยาพาราเซตามอล
    การตรวจติดตามผลเลือดเป็นระยะเพื่อดูการทำงานของตับว่าดีขึ้นหรือไม่

 “ไวรัสตับอักเสบซี” ภาวะเรื้อรัง…ที่ส่งผลให้เกิดโรคร้ายแรง

ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบซี ส่วนใหญ่จะเป็นเรื้อรังถ้าหากไม่ได้รับการรักษาอาจจะกลายเป็นโรคตับแข็ง มะเร็งตับ และเสียชีวิตในที่สุด การรักษาขึ้นอยู่กับพยาธิสภาพของตับ ถ้าหากตับวาย หรือมะเร็งตับ แพทย์จะไม่รักษาด้วยยารักษาไวรัสตับอักเสบซี เพราะจะเน้นที่การรักษามะเร็งมากกว่า หรือหากมีภาวะตับวายการรักษาจะมีความเสี่ยงสูง ฉะนั้นการรักษาขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์

 ไวรัสตับอักเสบ มีโอกาสรักษาหายหรือไม่?

    ไวรัสตับอักเสบบี เมื่อเป็นในระยะเฉียบพลันแล้ว มีโอกาสหายขาดได้ประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ ของผู้ที่ติดเชื้อ แต่มี 5 – 10 เปอร์เซ็นต์ เป็นตับอักเสบเรื้อรัง
    ไวรัสตับอักเสบ เอและ อี การรักษาจะหายขาด ส่วนใหญ่หายได้เองและมีภูมิต่อโรค ทำให้ไม่เป็นโรคนี้ซ้ำอีก และไม่เป็นตับอักเสบเรื้อรัง ยกเว้นไวรัสตับอักเสบอี ในหญิงตั้งครรภ์ มีโอกาสเสี่ยงต่อการเสียชีวิตสูง
    ไวรัสตับอักเสบซี ประมาณ 85 เปอร์เซ็นต์ เป็นตับอักเสบเรื้อรัง ผลการรักษาขึ้นกับชนิดของไวรัสตับอักเสบซี

 การดูแลตนเองเมื่อเป็นโรคไวรัสตับอักเสบ

    สามารถออกกำลังกายได้ปกติ แต่ไม่ควรหักโหมในช่วงที่มีอาการตับอักเสบเฉียบพลัน
    ควรพักผ่อนให้พอเพียง
    งดการดื่มแอลกอฮอล์ เพราะทำให้เชื้อไวรัสแบ่งตัวได้มากขึ้น และทำให้เซลล์ตับเสื่อมเร็วขึ้น
    การรับประทานยาทุกชนิด ควรปรึกษาแพทย์
    การพบแพทย์ตามนัด เพื่อตรวจเลือดดูการทำงานของตับเป็นระยะ
    การมีเพศสัมพันธ์ควรสวมถุงยางอนามัย
    รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูง
    เมื่อมีการผ่าตัดหรือทำฟัน ควรแจ้งแพทย์ทราบเสมอ
    หลีกเลี่ยงความเครียด
    แนะนำให้คนไกล้ชิดที่อยู่บ้านเดียวกัน ให้ตรวจเลือด และฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบเอและบี
    งดการบริจาคโลหิต

2
ตรวจอาการเบื้องต้นด้วยตนเอง: โรคขาดอาหารในเด็ก (Malnutrition)

โรคขาดอาหารในเด็ก หมายถึง ภาวะขาดโปรตีน (สารเสริมสร้างร่างกายให้เติบโตและแข็งแรง) และแคลอรี (สารสร้างพลังงานแก่ร่างกาย) จึงเรียกชื่อว่า โรคขาดโปรตีนและพลังงาน (protein energy malnutrition/PEM)

โรคนี้พบบ่อยในทารก และเด็กวัยก่อนเรียน (อายุต่ำกว่า 6 ปี) ซึ่งเป็นวัยที่กำลังเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วและมีความต้องการอาหารมากกว่าวัยอื่น ๆ

สาเหตุ

เด็กที่ขาดอาหารมักเป็นเด็กที่พ่อแม่ยากจน ด้อยการศึกษา และมีสิ่งแวดล้อมไม่ถูกสุขลักษณะ ทำให้เด็กได้รับอาหารไม่เพียงพอหรือไม่ถูกต้อง เช่น เด็กกินนมข้นหวานหรือน้ำข้าว เด็กได้อาหารเสริมช้าไปหรือไม่พอ และเด็กมักจะเจ็บป่วยบ่อย เช่น ท้องเดิน ไข้หวัด ปอดอักเสบ หัด ไอกรน เป็นต้น ซึ่งจะมีผลทำให้เด็กขาดอาหารมากขึ้น และยิ่งขาดอาหารก็ยิ่งเจ็บป่วยบ่อยเป็นวัฏจักรไปเรื่อย ๆ

อาการ

โรคนี้สามารถแสดงได้หลายแบบ ขึ้นกับความรุนแรงและสาเหตุของโรค เช่น

ถ้าเด็ดขาดอาหารไม่มาก ก็อาจมีน้ำหนักน้อยกว่าเกณฑ์ปกติเมื่อเทียบตามอายุ โดยเด็กยังดูแข็งแรงดีไม่มีอาการผิดปกติอื่นใด

ถ้าเด็กขาดแคลอรีอย่างมาก จะมีน้ำหนักน้อยกว่าปกติ มีลักษณะผอมแห้ง หนังหุ้มกระดูก ผิวหนังเหี่ยวย่น ตาลึก แก้มตอบ ดูคล้ายกับเด็กที่มีภาวะขาดน้ำ (ดู "อาการท้องเดิน/อุจจาระร่วง") แต่ไม่มีอาการบวม มักพบในเด็กอายุน้อยกว่า 1 ปี โรคขาดอาหารแบบนี้มีชื่อเรียกว่า มาราสมัส (marasmus)

ถ้าเด็กขาดโปรตีนอย่างมาก ก็จะทำให้มีอาการบวมที่มือและเท้า บางครั้งอาจบวมที่หน้าและบวมทั้งตัว น้ำหนักน้อยกว่าปกติ เด็กดูท่าทางเซื่องซึม ไม่สนใจสิ่งแวดล้อม เบื่ออาหาร ผมบางเปราะแห้งและมีสีจาง ผิวหนังมีผื่นสีกระดำกระด่าง และหลุดลอกเป็นแผลที่บริเวณก้น ขาหนีบและต้นขา และอาจมีอาการถ่ายอุจจาระเหลวและเป็นฟอง โรคขาดอาหารแบบนี้มีชื่อเรียกว่า ควาชิวากอร์ (kwashiorkor) ซึ่งถือเป็นภาวะที่รุนแรง อาจตายด้วยโรคแทรกซ้อน เช่น ท้องเดิน ปอดอักเสบ มักพบในเด็กอายุ 1-5 ปี

ภาวะแทรกซ้อน

ที่สำคัญคือ เด็กจะมีภูมิคุ้มกันต่ำ เป็นโรคติดเชื้อได้ง่าย เช่น ไข้หวัด ท้องเดิน ปอดอักเสบ หัด เป็นต้น และเมื่อเป็นแล้วก็มักจะมีอาการรุนแรง อาจถึงตายได้ง่าย ๆ

นอกจากนี้โรคขาดอาหารยังมีผลทำให้สมองเจริญเติบโตไม่ดี เด็กอาจมีสติปัญญาต่ำกว่าปกติ

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบ ดังนี้

เด็กน้ำหนักน้อย ผอมแห้ง หรืออาจมีอาการบวม ผมบางเปราะแห้งและมีสีจาง มีอาการซีด ลิ้นมันเลี่ยน ตับโต

ในบางรายแพทย์อาจทำการตรวจเพิ่มเติม เช่น การตรวจเลือด ปัสสาวะ อุจจาระ หรืออื่น ๆ

การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ถ้ามีอาการบวม เบื่ออาหาร และท่าทางเชื่องซึม หรือมีภาวะติดเชื้อรุนแรง แพทย์จะรับไว้รักษาในโรงพยาบาล อาจต้องป้อนอาหารเด็กทางสายยาง รักษาโรคติดเชื้อ และแก้ไขภาวะอื่น ๆ ที่พบร่วม

2. ถ้าไม่มีอาการดังข้อ 1 ให้ดูแลรักษาดังนี้

    แนะนำการให้อาหารและการเลี้ยงดูที่ถูกต้อง เช่น การให้นม การให้อาหารเสริมต่าง ๆ
    ถ้ามีโรคติดเชื้อร่วมด้วย เช่น ไข้หวัด ท้องเสีย แผลพุพอง ทอนซิลอักเสบ ก็ให้ยารักษาตามแต่โรคที่พบร่วม
    ให้วิตามินรวม ยาบำรุงโลหิต

การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น ตัวเล็กหรือน้ำหนักน้อยกว่าปกติ บวม ซีด เป็นต้น ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคขาดอาหารในเด็ก ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีอาการไม่สบาย เช่น มีไข้ ท้องเดิน อาเจียน หายใจหอบ เบื่ออาหาร หรือ กินไม่ได้ เป็นต้น
    ขาดยาหรือยาหาย
    กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ

การป้องกัน

การป้องกันโรคขาดอาหารในเด็ก อาจกระทำได้ดังนี้

1. แนะนำให้เลี้ยงลูกด้วยนมมารดานานอย่างน้อย 6 เดือน และอย่าให้ทารกหย่านมเร็วเกินไป โดยเฉพาะในครอบครัวที่ยากจนและมีลูกมาก

2. แนะนำการให้อาหารเสริมแก่ทารกให้ได้พอเพียง และถูกต้อง

3. แนะนำการให้วัคซีนป้องกันโรคแก่เด็กเล็ก

4. หมั่นชั่งน้ำหนักเด็ก ถ้าพบว่าน้ำหนักน้อยกว่าเกณฑ์ปกติ (ดูกราฟ) ควรแนะนำการเลี้ยงดู และการให้อาหารเสริม ถ้าไม่ได้ผล ควรแนะนำไปพบแพทย์

5. แนะนำพ่อแม่เด็กว่า เวลาเด็กเจ็บป่วย เช่น มีบาดแผลอักเสบ คางทูม หัด อีสุกอีใส เป็นต้น ไม่ต้อง อดของแสลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารประเภทโปรตีน (เช่น เนื้อ นม ไข่ ถั่วต่าง ๆ) ควรกินให้มาก ๆ เพื่อบำรุงร่างกายเด็ก

ข้อแนะนำ

พ่อแม่ ผู้ปกครอง ควรพาลูกหลานไปพบแพทย์หรือบุคลากรสาธารณสุขที่สถานพยาบาลใกล้บ้าน เพื่อตรวจสุขภาพ ชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง ให้วัคซีนป้องกันโรค หากพบว่ามีน้ำหนักตัวผิดปกติหรือสงสัยมีภาวะขาดอาหารในระยะแรกเริ่ม ควรได้รับการดูแลรักษาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์หรือบุคลากรสาธารณสุข เพื่อแก้ไขและป้องกันไม่ให้กลายเป็นโรคขาดอาหารหรือภาวะทุพโภชนาการที่รุนแรง

3
อาชีพเสริม จากการขายขนมจีนซาวน้ำ อาหารไทยโบราณ รสชาติหวานมันเค็มกลมกล่อม

ขนมจีนซาวน้ำเป็นอาหารไทยโบราณที่มีรสชาติหวานมันเค็มกลมกล่อม มีเครื่องเคราหลายอย่าง เช่น ขนมจีน สับปะรด กุ้งแห้งป่น ขิง กระเทียม น้ำปลาหวาน และกะทิสด รับประทานแล้วสดชื่น เหมาะกับอากาศร้อน ขนมจีนซาวน้ำเป็นอาหารไทยแบบดั้งเดิมที่อร่อยและสดชื่น ผสมผสานรสชาติอันละเอียดอ่อนเข้ากับรสชาติหวาน เค็มและเปรี้ยวอย่างลงตัว เหมาะสำหรับวันอากาศร้อนที่คุณอยากทานอะไรเบาๆ แต่อิ่มท้อง

อาหารจานนี้ทำจากเส้นก๋วยเตี๋ยว กะทิ และผักสดหลากหลายชนิด มาดูกันว่าคุณสามารถทำขนมจีนซาวน้ำสูตรพิเศษนี้ที่บ้านได้อย่างไร
วัตถุดิบ
สำหรับจานหลัก:
ขนมจีน 500 กรัม
กะทิ 200 มล.
สับปะรดสดหั่นเต๋าละเอียด 1 ถ้วย
ขิงซอยบางๆ 2 ช้อนโต๊ะ
กุ้งแห้ง 2 ช้อนโต๊ะ โขลกละเอียด
ถั่วลิสงคั่วบด ½ ถ้วย
มะนาว 1-2 ลูก หั่นเป็นแว่น
น้ำตาลปี๊บ 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำปลา (ตามชอบ)
พริกขี้หนูสดหั่นชิ้น (ตามชอบ)

คำแนะนำ
1. เตรียมเส้นก๋วยเตี๋ยว
ล้างเส้นขนมจีนในน้ำเย็นเพื่อเอาแป้งส่วนเกินออก สะเด็ดน้ำให้สะอาดแล้วพักไว้

2. ตั้งกะทิให้ร้อน
ในกระทะเล็ก ๆ ให้นำกะทิไปตั้งไฟอ่อน ๆ จนอุ่น อย่าให้เดือด ขั้นตอนนี้จะทำให้กะทิมีรสชาติครีมมี่ยิ่งขึ้น

3. ประกอบจาน
แบ่งขนมจีนใส่ชามเสิร์ฟแต่ละชาม
ราดกะทิอุ่นๆ ลงบนเส้นเล็กน้อย
ด้านบนมีสับปะรดหั่นเต๋า ขิงหั่นฝอย กุ้งแห้งโขลก และถั่วลิสงบด

4. ปรุงรสจาน
โรยน้ำตาลมะพร้าวและราดน้ำปลาเล็กน้อยลงบนเครื่องเคียง
เติมน้ำมะนาวสดลงไปเล็กน้อยเพื่อรสชาติเปรี้ยวอมหวาน
หากต้องการความเผ็ดจัด ตกแต่งด้วยพริกขี้หนูหั่นบาง ๆ

5. เสิร์ฟและเพลิดเพลิน
ผสมทุกอย่างเข้าด้วยกันก่อนรับประทานเพื่อให้แน่ใจว่ารสชาติเข้ากันดี
เสิร์ฟทันทีเป็นอาหารจานหลักเบาๆ หรือเป็นเครื่องเคียงที่สดชื่น

เคล็ดลับการทำขนมจีนสาวน้ำให้อร่อย
เลือกวัตถุดิบสด:สับปะรดและขิงสดทำให้มีรสชาติที่แตกต่างกันอย่างมาก
ปรับสมดุลรสชาติ:ปรับปริมาณน้ำปลา น้ำตาล และน้ำมะนาวตามต้องการ

คำแนะนำในการจับคู่:เสิร์ฟพร้อมผักสด เช่น แตงกวาหรือไข่ต้ม เพื่อให้มื้ออาหารอิ่มท้องมากขึ้น
ขนมจีนซาวน้ำเป็นขนมไทยที่เป็นตัวแทนของมรดกทางวัฒนธรรมการทำอาหารของไทยได้อย่างน่าลิ้มลอง มีทั้งรสชาติและเนื้อสัมผัสที่ผสมผสานกันอย่างลงตัว ลองชิมและสัมผัสรสชาติอาหารไทยแท้ๆ บนโต๊ะของคุณสิ


4
บริการทำความสะอาด: วิธีทำความสะอาดบ้าน ทำเองได้ไม่ยาก เปลี่ยนบ้านให้เป็นที่ผ่อนคลายจิตใจจากความเหนื่อยล้า

วิธีทำความสะอาดบ้าน มีอะไรบ้าง   

รู้หรือไม่? บ้านกับสุขภาพจิตของผู้อยู่อาศัยสัมพันธ์กันมากกว่าที่คิด โดยบ้านที่รกและสกปรกจะพลอยทำให้จิตใจของผู้อยู่อาศัยขุ่นมัวตามไปด้วย ในขณะที่บ้านที่สะอาดและปลอดโปร่ง จะช่วยให้ผู้อยู่อาศัยสดชื่นและผ่อนคลาย พร้อมกับได้รับการพักผ่อนทางจิตใจอย่างเต็มที่ เพราะฉะนั้นเราจึงอยากมาแบ่งปัน 12 วิธี ทำความสะอาดบ้านให้น่าอยู่และสามารถทำเองได้ไม่ยาก!

1.เริ่มจากบนลงล่าง

การทำความสะอาดบ้านควรเริ่มจากที่สูงก่อน เช่น เพดาน ราวแขวนผ้าม่าน และชั้นวางสูงๆ เป็นต้น เพราะหากทำด้านล่างก่อน อาจมีเศษฝุ่นปลิวลงมาขณะที่ทำความสะอาดด้านบน จนทำให้ต้องวนกลับมาทำความสะอาดด้านล่างซ้ำ

2.ปัดฝุ่นจากโต๊ะและตู้ลงพื้น

การปัดฝุ่นบนโต๊ะและตู้ลงพื้นจะช่วยให้ฝุ่นไปอยู่รวมกันที่พื้น และสามารถกวาดหรือดูดฝุ่นจากพื้นได้ในคราวเดียว

3.อย่าลืมล้างมุ้งลวด

หากที่บ้านของใครมีการติดตั้งมุ้งลวด อย่าลืมถอดมุ้งลวดออกมาล้างน้ำให้สะอาด แล้วนำไปตากแดดให้แห้งสนิท ก่อนนำกลับมาติดตั้งใหม่ เพราะมุ้งลวดเป็นอีกหนึ่งจุดที่มีการสะสมของฝุ่นเยอะ

4.ควรทำความสะอาดให้เสร็จเป็นห้องๆ

การทำความสะอาดห้องแต่ละห้องภายในบ้านมีการใช้อุปกรณ์ที่แตกต่างกันออกไป เช่น การทำความสะอาดห้องนอน ต้องใช้ไม้กวาดและไม้ถูพื้นเป็นหลัก ในขณะที่การทำความสะอาดห้องน้ำ ต้องใช้แปรงสำหรับขัดพื้นและสุขภัณฑ์ ฉะนั้นจึงควรทำความสะอาดเป็นห้องๆ ไป เพื่อความสะดวกในการใช้อุปกรณ์

5.ถอดผ้าม่านไปซัก

ผ้าม่านเป็นอีกหนึ่งจุดที่มีการสะสมของฝุ่นเยอะ ดังนั้นควรถอดผ้าม่านไปซัก เพื่อสุขอนามัยที่ดี แต่ในกรณีที่ผ้าม่านเป็นแบบที่ไม่สามารถถอดเองได้ อาจใช้เครื่องดูดฝุ่นมาดูดฝุ่นที่ผ้าม่านแทนก่อนได้

6.ทำความสะอาดพรมเช็ดเท้า

พรมเช็ดเท้าถือเป็นแหล่งสะสมของทั้งฝุ่นและเชื้อโรคเลยก็ว่าได้ หากพรมเช็ดเท้ามีขนาดไม่ใหญ่มาก ให้ซักแล้วนำไปตากแดดให้แห้ง ก่อนจะนำกลับมาใช้ หรือในกรณีที่พรมเช็ดเท้ามีขนาดใหญ่มาก ให้ใช้เครื่องดูดฝุ่นแดดแทนได้ และนำไปตากแดด เพื่อฆ่าเชื้อโรค

7.ผ้าปูที่นอนต้องสะอาดอยู่เสมอ

แม้จะไม่มีรอยเปื้อน แต่ในความจริงแล้ว ผ้าปูที่นอนเป็นแหล่งอาศัยชั้นเยี่ยมของไรฝุ่น ซึ่งมักก่อให้เกิดอาการภูมิแพ้ และในบางครั้งยังก่อให้เกิดสิวตามร่างกายได้ด้วย ผ้าปูที่นอนจึงควรเปลี่ยนใหม่อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง

8.อย่ามองข้ามของชิ้นเล็ก

นอกจากเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่ ของใช้หรือของแต่งบ้านชิ้นเล็ก ๆ ก็สามารถสะสมฝุ่นได้เช่นกัน เช่น ตุ๊กตา แจกัน และรีโมต เป็นต้น

9.ห้องครัวและตู้เย็น

ห้องครัวเป็นห้องที่ทำความสะอาดค่อนข้างยาก เพราะมักมีคราบเปื้อนของซอสและน้ำมัน ซึ่งหากได้รับการสะสมไว้นาน ๆ คราบเหล่านั้นจะเหนียวและเช็ดออกได้ยาก จึงต้องใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่ช่วยขจัดคราบเหนียวและฝังแน่นได้ แต่ทางที่ดีคือ ให้ทำความสะอาดจุดที่เปื้อนคราบเหล่านั้นทันที

ส่วนตู้เย็นสามารถทำความสะอาดได้ด้วยการถอดชิ้นส่วนชั้นต่าง ๆ ในตู้เย็นออกมาล้างน้ำสะอาด แล้วผึ่งแดดให้แห้ง ก่อนจะนำกลับไปประกอบคืนที่เดิม ซึ่งการล้างตู้เย็นจะช่วยให้เจ้าของบ้านได้จัดวัตถุดิบในตู้เย็นไปในตัว ทำให้สะดวกขึ้นเมื่อเปิดหาวัตถุดิบมาประกอบอาหาร นอกจากนี้ ยังช่วยให้เห็นด้วยว่ามีอะไรที่เน่าเสียแล้วบ้าง เพื่อนำไปทิ้งได้ทันก่อนที่จะส่งกลิ่นเหม็น

10.หลอดไฟและโคมไฟ

หลอดไฟและโคมไฟมักเป็นจุดที่ถูกลืมทำความสะอาดอยู่บ่อยครั้ง โดยสามารถทำความสะอาดได้ด้วยการใช้กระดาษทิชชูแห้งหรือผ้าสะอาดแห้งมาเช็ดฝุ่นให้ออกไป
เตรียมอุปกรณ์ทำความสะอาดบ้านให้พร้อม

11.อุปกรณ์ทำความสะอาด

หลังจากใช้อุปกรณ์ทำความสะอาดบ้านแล้ว ควรทำความสะอาดอุปกรณ์เหล่านั้นด้วย เพื่อให้สะอาดอยู่เสมอและสามารถใช้งานได้นาน เช่น ผ้าเช็ดพื้น ควรนำไปซักให้สะอาด แล้วนำไปตากแดด เป็นต้น

12.ตรวจเช็กบ้าน

อีกหนึ่งการดูแลบ้านที่ขาดไม่ได้ก็คือ การตรวจเช็กมุมต่างๆ ของบ้าน ซึ่งสามารถทำไปพร้อมกับการทำความสะอาดแต่ละจุดในบ้านได้ เช่น การตรวจรอยรั่วของท่อ ตรวจรอยร้าวบนผนัง และตรวจสภาพบ้านว่ามีการทรุดตัวหรือไม่ เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม การทำความสะอาดบ้านในบางจุดอาจจะเป็นเรื่องยากหรือใช้เวลามากเกินไปสำหรับเจ้าของบ้าน เช่น การทำความสะอาดโซฟา การทำความสะอาดพรมขนาดใหญ่ หรือการทำความสะอาดฟูกขนาดใหญ่ โดยปัจจุบันมีบริษัทรับทําความสะอาดที่ตอบโจทย์เจ้าของบ้านกลุ่มนี้อยู่ รวมไปถึงกลุ่มเจ้าของบ้านที่ยุ่งเกินกว่าจะทำความสะอาดบ้านด้วยตนเอง

5
ตรวจโรคพยาธิไส้เดือน (Ascariasis)

โรคพยาธิไส้เดือนเป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อพยาธิไส้เดือน (Ascaris lumbricoides) ซึ่งเป็นพยาธิตัวกลมชนิดหนึ่ง โดยการกินไข่ที่มีตัวอ่อนของพยาธิไส้เดือน* ระยะติดต่อเข้าไปอยูในร่างกาย ทำให้เกิดอาการต่าง ๆ ตามอวัยวะที่ตัวพยาธิเข้าไปอาศัยอยู่

โรคนี้พบได้ในคนทุกวัย แต่จะพบในเด็กมากกว่าผู้ใหญ่ และในเด็กมักมีอาการรุนแรงกว่า เนื่องจากมักจะมีพยาธิในลำไส้เป็นจำนวนมาก

โรคนี้พบมากทางภาคใต้ และอาจพบในภาคอื่น ๆ ได้พอประมาณ

*วงจรชีวิตของพยาธิไส้เดือน

1. พยาธิไส้เดือนตัวเต็มวัย (ตัวแก่) มีรูปร่างคล้ายไส้เดือนสีขาวยาวประมาณ 20-40 ซม. อาศัยอยู่ในลำไส้เล็กของคน ตัวเมียจะออกไข่วันละนับแสนฟอง ซึ่งจะออกมากับอุจจาระ หากคนถ่ายอุจจาระลงพื้นดินหรือในน้ำ ไข่จะอยู่ตามสิ่งแวดล้อม (น้ำ ดิน ทราย ฝุ่นละออง ผักที่ใส่ปุ๋ยทำจากอุจจาระคน)
2. ไข่ที่ไม่ได้รับการผสม แม้คนกินเข้าไปก็ไม่ทำให้เกิดการติดเชื้อ
3. ส่วนไข่ที่ได้รับการผสม จะเจริญเป็นตัวอ่อน (ในไข่) ในเวลา 10-21 วันซึ่งเป็นระยะติดต่อ
4. เมื่อคนกินอาหาร ผัก ผลไม้ น้ำดื่ม หรืออมนิ้วมือที่เปื้อนไข่พยาธิดังกล่าว ก็จะกลืนเอาไข่พยาธิที่มีตัวอ่อนเข้าไปในลำไส้
5. ตัวอ่อนในไข่จะฟักออกมาเกาะอาศัยอยู่ตามลำไส้
6. ตัวอ่อนจะไชทะลุเยื่อเมือกของลำไส้เข้าไปตามระบบไหลเวียนเลือดและระบบน้ำเหลืองเข้าสู่ปอด และเจริญต่อไปภายในปอดซึ่งใช้เวลา 10-14 วัน แล้วไชทะลุผ่านผนังถุงลม เคลื่อนตัวขึ้นไปตามหลอดลมจนถึงคอหอย
7. ตัวอ่อนจะถูกกลืนกลับลงไปในหลอดอาหารและลำไส้อีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ตัวอ่อนก็จะเจริญเป็นตัวเต็มวัย และอาศัยอยู่ในลำไส้ ซึ่งสามารถมีชีวิตได้นานถึง 1-2 ปี


สาเหตุ

การติดต่อของโรคนี้ เกิดจากการกลืนไข่พยาธิไส้เดือนระยะติดต่อที่ปนเปื้อนอาหาร ผัก ผลไม้ น้ำดื่ม หรือนิ้วมือ


อาการ

ถ้ามีพยาธิอยู่ในลำไส้จำนวนน้อย มักจะไม่มีอาการอะไร บางรายอาจถ่ายหรืออาเจียนเป็นตัวไส้เดือน

บางรายอาจมีอาการปวดท้องหรืออาเจียนเป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง โดยมักจะมีอาการหลังกินอาหารสัก 1/2 ชั่วโมง

บางรายอาจแสดงอาการลมพิษเรื้อรัง

ในรายที่มีพยาธิจำนวนมาก เด็กอาจมีอาการผอมแห้งแรงน้อย กินข้าวได้แต่ไม่อ้วนขึ้นหรือกลับผอมลง บางรายอาจมีอาการเบื่ออาหาร ปวดท้อง คลื่นไส้ ท้องเดิน

บางรายมีลักษณะพุงโรก้นปอด ขาดอาหาร


ภาวะแทรกซ้อน

ในเด็กอาจเกิดภาวะขาดอาหาร (เช่น ขาดสารโปรตีน วิตามินเอ) เนื่องจากพยาธิไส้เดือนแย่งอาหารในลำไส้

บางครั้งพยาธิอาจรวมเป็นกระจุก ทำให้เกิดอาการอุดกั้นของลำไส้ มีอาการปวดท้องรุนแรง อาเจียนรุนแรง และคลำได้ก้อนที่หน้าท้อง

พยาธิตัวอ่อนที่เคลื่อนตัวผ่านปอด ถ้ามีจำนวนมากอาจทำให้เกิดอาการไอหรือปอดอักเสบ

บางครั้งพยาธิตัวแก่อาจเคลื่อนตัวเข้าไปอุดกั้นในท่อน้ำดี ทำให้มีอาการดีซ่าน และถุงน้ำดีอักเสบ, เข้าไปในอุดกั้นในท่อตับอ่อนทำให้ตับอ่อนอักเสบ, เข้าไปในตับทำให้เป็นฝีตับ, เข้าไปในรูของไส้ติ่ง ทำให้ไส้ติ่งอักเสบ

ภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงแต่พบได้น้อยมาก ได้แก่ เป็นแผลที่ลำไส้และมีเลือดออกรุนแรง ลำไส้ทะลุ ลำไส้เน่า ซึ่งอาจทำให้เสียชีวิตได้


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการบอกเล่า หรือสังเกตเห็นตัวพยาธิที่ถ่ายหรืออาเจียนออกมา จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัด โดยการตรวจพบไข่พยาธิไส้เดือนในอุจจาระ

การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ให้กินยาฆ่าพยาธิ เช่น มีเบนดาโซล, อัลเบนดาโซล เป็นต้น

2. ในรายที่มีภาวะแทรกซ้อน แพทย์จะรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล อาจจำเป็นต้องรักษาด้วยการผ่าตัดในรายที่เป็นรุนแรง เช่น ลำไส้อุดกั้น ลำไส้ทะลุ ไส้ติ่งอักเสบ เป็นต้น


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น อาเจียนหรือถ่ายออกมาเป็นตัวพยาธิไส้เดือน, เด็กมีอาการปวดท้อง ท้องเดินบ่อย, เด็กกินอาหารเก่งแต่น้ำหนักไม่ขึ้น หรือผอมแห้งแรงน้อย พุงโรก้นปอด, เป็นลมพิษเรื้อรัง เป็นต้น ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคพยาธิไส้เดือน ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด


ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ดูแลรักษาแล้วอาการไม่ทุเลาใน 1-2 สัปดาห์
    มีอาการปวดท้องรุนแรง อาเจียนรุนแรง ตาเหลืองตัวเหลือง หรือถ่ายเป็นเลือด
    มีอาการปวดท้อง คลื่นไส้ ท้องเดินบ่อย โดยไม่ทราบสาเหตุ
    ขาดยา ยาหาย หรือกินยาไม่ได้
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ

การป้องกัน

    ถ่ายอุจจาระในส้วมที่ถูกสุขลักษณะ อย่าถ่ายอุจจาระลงพื้นดินหรือแม่น้ำลำคลอง
    ล้างมือด้วยน้ำกับสบู่ก่อนเตรียมอาหารและกินอาหารทุกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กควรกวดขันให้ล้างมือก่อนกินอาหาร และหลังกลับจากการเล่นที่สนามนอกบ้าน เนื่องเพราะเด็กมักเผลอดูดนิ้วมือเล่น ซึ่งอาจมีไข่พยาธิปนเปื้อนได้
    ล้างผักและผลไม้ให้สะอาดก่อนรับประทานทุกครั้ง ถ้าไม่มั่นใจควรกินผักที่ปรุงสุก และกินผลไม้ที่ปอกเปลือก
    ดื่มน้ำสุกหรือน้ำสะอาด และกินอาหารที่ปรุงสุกและร้อน

ข้อแนะนำ

เด็กที่มีอาการปวดท้องหรืออาเจียนบ่อย กินอาหารเก่งแต่น้ำหนักไม่ขึ้น หรือเป็นลมพิษเรื้อรังโดยไม่ทราบสาเหตุชัดเจน หรือสงสัยว่าอาจเป็นโรคพยาธิไส้เดือน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจดูไข่พยาธิในอุจจาระด้วยกล้องจุลทรรศน์


6
จัดฟันบางนา: การจัดฟันแบบใสกับการดูแลรักษาให้ฟันสวยเป็นธรรมชาติ

การดูแลรักษาความสะอาดของสุขภาพช่องปากและฟัน ถือเป็นเรื่องที่สำคัญมากและเราเองจะต้องทำเป็นกิจวัตรประจำวัน เพื่อให้เราได้มีสุขภาพฟันที่ดี สะอาด และสวยงามเป็นธรรมชาติ แต่บางคนก็อาจจะละเลยในเรื่องของการทำความสะอาดช่องปากและฟัน จนเป็นสาเหตุของการเกิดฟันผุ ทำให้เรามีปัญหาสุขภาพช่องปากและฟันตามมาได้ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาฟันผุ ปัญหาฟันซ้อน ฟันเก ฟันห่าง จนทำให้มีปัญหาในการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น เวลารับประทานอาหาร อาจจะทำให้บดเคี้ยวอาหารได้ไม่ละเอียด หรืออาจจะส่งผลให้พูดไม่ชัด ซึ่งถือว่าส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันของเราเป็นอย่างมาก

แต่ในปัจจุบันนี้ วงการทันตกรรมของเราก็มีนวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามามากมาย ไม่ว่าจะเป็นการรักษาด้วยการฝังรากฟันเทียม รวมไปถึงการจัดฟัน ซึ่งหากพูดถึงเรื่องการจัดฟันนั้น นับได้ว่าเป็นวิธีการรักษาทางทันตกรรมที่เรามักจะพบเห็นได้บ่อย จนเรียกได้ว่าเป็นเทรนด์ของวัยรุ่นยุคใหม่เลยก็ว่าได้ แต่ในอีกมุมหนึ่งก็ยังสะท้อนให้เห็นถึงการดูแลรักษาและการเอาใจใส่ในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟัน ตั้งแต่เด็ก เพื่อที่จะได้มีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีในระยะยาว แต่ถ้าหากพูดถึงการจัดฟันนั้น มักพบปัญหาได้บ่อย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเครื่องมือการจัดฟันที่อาจจะทำให้ผู้เข้ารับการจัดฟันรู้สึกไม่สบายช่องปาก หรืออาจจะเป็นอุปสรรคในการรับประทานอาหาร

แต่ด้วยนวัตกรรมรูปแบบใหม่ของการจัดฟันที่สามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพเลยนั่นก็คือ การจัดฟันแบบใส หรือที่เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า INVISALIGN ซึ่งถือได้ว่าเป็นนวัตกรรมการจัดฟันที่ทำให้ผู้เข้ารับการจัดฟัน สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างเต็มที่และเป็นปกติ จนแทบจะไม่ต้องปรับตัวอะไรเลย เพราะด้วยเครื่องมือการจัดฟันฟันที่สามารถถอดออกได้ขณะที่เรารับประทานอาหารหรือขณะแปรงฟัน นอกจากจะช่วยให้เราได้รับประทานอาหารได้อย่างหลากหลายและเต็มที่แล้ว

ในขณะที่ทำความสะอาดช่องปากและฟัน เรายังสามารถถอดเครื่องมือออกได้ ทำให้เราได้ทำความสะอาดช่องปากและฟันได้อย่างเต็มที่ ไม่เพียงแม้แต่จะทำให้เรามีฟันที่สวยเป็นธรรมชาติแล้ว การจัดฟันแบบใสยังช่วยส่งเสริมในด้านสุขภาพช่องปากและฟันอีกด้วย เรียกได้ว่า เป็นทางเลือกที่ดีมากเลยทีเดียว ดังนั้น วันนี้ทางคลินิกเราจะมาพูดถึงวิธีการดูแลรักษาสำหรับผู้ที่เข้ารับการจัดฟันแบบใสเพื่อให้เราได้มีฟันที่สวยงามเป็นธรรมชาติ หลายคนคงทราบกันดีอยู่แล้วว่า การจัดฟันแบบใสนั้น เป็นการจัดฟันที่มองเห็นเครื่องมือได้ยาก ทำให้ผู้เข้ารับการจัดฟันมีรอยยิ้มที่สวยงามเป็นธรรมชาติ สำหรับวิธีการดูแลรักษาก็ไม่ยากอย่างที่คิด เพราะผู้เข้ารับการจัดฟัน สามารถทำความสะอาดได้ตามปกติ เพราะการจัดฟันแบบใสนั้น มีจุดเด่นที่แตกต่างจากการจัดฟันในรูปแบบอื่นคือ สามารถถอดเครื่องมือการจัดฟันได้ ทำให้เราสามารถทำความสะอาดช่องปากได้ตามปกติ


การดูแลรักษาความสะอดช่องปากและฟัน สำหรับผู้ที่เข้ารับการจัดฟันแบบใส วิธีเบื้องต้นเลยคือ ควรแปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันควบคู่กันเป็นประจำ เพราะผู้เข้ารับการจัดฟันแบบใสจะต้องสวมใส่เครื่องมือการจัดฟันแบบใสแทบจะตลอดเวลา เพราะฉะนั้น ผู้เข้ารับกาจัดฟันแบบใสก็ต้องทำให้ฟันสะอาดอยู่เสมอนั่นเอง นอกจากจะทำให้ฟันสะอาดแล้ว ยังช่วยทำให้ฟันดูสวยเป้รธรรมชาติด้วย นอกจากนี้การสวมใส่เครื่องมือการจัดฟันแบบใสก็ถือเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ผู้เข้ารับการจัดฟันจะต้องมีวินัย ควรใส่เครื่องมืออย่างน้อยวันละ 22 ชั่วโมง เพื่อผลการรักษาที่ดี และทำให้ฟันเรียงตัวกันอย่างสวยงาม

สุดท้ายการดูแลรักษาสำหรับผู้เข้ารับการจัดฟันแบบใสอีกข้อหนึ่งคือ ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของทันตแพทย์ เพื่อที่จะได้มีผลการรักษาที่ดีและมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี ควรไปตามนัดที่ทันตแพทย์นัดเพื่อทำการตรวจช่องปากเป็นประจำ ทางคลินิกเราอยากให้ทุกคนมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีและฟันที่สวยงาม มีรอยยิ้มที่มั่นใจ หากใครสนใจเข้ารับการจัดฟันแบบใส สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำจากทันตแพทย์ของทางคลินิกได้

7
tokyo motor show: ซื้อ Ford Ranger พร้อมชุดแต่ง MS-RT วันนี้ รับฟรี! ทริปชมการแข่งรถ F1 ที่สิงคโปร์

ฟอร์ด ประเทศไทย มอบประสบการณ์สุดเร้าใจสำหรับสาวกรถแข่งมอเตอร์สปอร์ต ด้วยข้อเสนอสุดพิเศษ ทริปชมการแข่งรถ F1 ราการ สิงคโปร์ กรังด์ ปรีซ์ เป็นเวลา 3 วัน 2 คืน เมื่อซื้อรถฟอร์ด เรนเจอร์ พร้อมชุดแต่ง MS-RT ตั้งแต่วันนี้ถึง 30 มิถุนายน 2568 จำนวนจำกัด!

กรุงเทพฯ ประเทศไทย 8 พฤษภาคม 2568 – ฟอร์ด ประเทศไทย มอบประสบการณ์สุดเร้าใจสำหรับสาวกรถแข่งมอเตอร์สปอร์ต ด้วยข้อเสนอสุดพิเศษ ทริปชมการแข่งรถฟอร์มูล่า วัน สิงคโปร์ กรังด์ ปรีซ์ หรือ F1 ณ มารีน่า เบย์ สตรีท เซอร์กิต ประเทศสิงคโปร์ เป็นเวลา 3 วัน 2 คืน เมื่อซื้อรถฟอร์ด เรนเจอร์ พร้อมชุดแต่ง MS-RT ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม ถึง 30 มิถุนายน 2568 จำนวนจำกัด!

“ฟอร์ดให้ความสำคัญกับการรับฟังเสียงของลูกค้า เราได้ร่วมกับพันธมิตรผู้ดัดแปลงในการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อส่งมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ตอบโจทย์และสร้างความประทับใจสูงสุด สำหรับฟอร์ด เรนเจอร์ พร้อมชุดแต่ง MS-RT นี้ เราได้ปรับจูนช่วงล่างใหม่ ซึ่งยังคงให้สัมผัสการขับขี่ที่เร้าใจในแบบสปอร์ตและพร้อมรองรับการใช้งานจริงในชีวิตประจำวันได้อย่างลงตัว” เมธัส ลิขิตสัจจากุล ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด ฟอร์ด ประเทศไทย กล่าว

ฟอร์ด ประเทศไทย มอบข้อเสนอเอ็กซ์คลูซีฟสำหรับลูกค้าที่ซื้อรถฟอร์ด เรนเจอร์ พร้อมชุดแต่ง MS-RT ระหว่างวันที่ 1 พฤษภาคม ถึง 30 มิถุนายน 2568 ที่ผู้จำหน่ายฟอร์ดที่ร่วมรายการ รับฟรี! แพ็กเกจทริปเดินทางชมการแข่งรถฟอร์มูล่า วัน สิงคโปร์ กรังด์ ปรีซ์ หรือ F1 เป็นเวลา 3 วัน 2 คืน ระหว่างวันที่ 4-6 ตุลาคม 2568 ที่ประเทศสิงคโปร์ รวมมูลค่ากว่า 58,834 บาท ในแพ็กเกจประกอบด้วย
 
•    ตั๋วเครื่องบินไป-กลับแบบฟูล เซอร์วิส พร้อมที่พัก 2 คืน
•    บัตรเข้าชมการแข่งขัน F1 สุดเร้าใจ ในวันที่ 4-5 ตุลาคม 2568
•    สิทธิ์เข้าชมคอนเสิร์ตจากศิลปินชื่อดังระดับโลกเอลตัน จอห์น

ฟอร์ด เรนเจอร์ พร้อมชุดแต่ง MS-RT มาพร้อมตัวเลือก 2 สี ได้แก่ สีเทา คอมมานด์ เกรย์ และสีดำ แอ็บโซลูท แบล็ก ราคา 1,754,000 บาท โดยฟอร์ดและอาร์เอ็มเอ กรุ๊ป พันธมิตรผู้ดัดแปลงรถยนต์ที่ได้รับการรับรอง Qualified Vehicle Modifier (QVM) จากฟอร์ด พร้อมมอบความอุ่นใจให้แก่ลูกค้าที่เป็นเจ้าของรถฟอร์ด      เรนเจอร์ MS-RT ด้วยการรับประกันคุณภาพที่ครอบคลุมทั้งอะไหล่แท้จากฟอร์ดและชิ้นส่วนการดัดแปลงทั้งหมดจากอาร์เอ็มเอ ด้วยระยะเวลาการรับประกันสูงสุด 5 ปี หรือ 150,000 กิโลเมตร แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน  (เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด) และฟรีค่าแรงเช็กระยะ พร้อมบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง นาน 5 ปี ผู้สนใจสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้
 
ข้อมูลเกี่ยวกับฟอร์ด มอเตอร์ คัมปะนี
ฟอร์ด มอเตอร์ คัมปะนี (NYSE: F) เป็นบริษัทชั้นนำระดับโลก มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองเดียร์บอร์น รัฐมิชิแกน ประเทศสหรัฐอเมริกา มีพันธกิจที่จะทำให้โลกนี้น่าอยู่ยิ่งขึ้น เพื่อให้ทุกคนเดินทางออกไปทำตามความฝันได้อย่างเสรี นโยบายฟอร์ด พลัส ของบริษัทมุ่งผลักดันการเติบโตและเพิ่มคุณค่าให้แก่ผู้บริโภคด้วยการผนวกจุดแข็งที่มีอยู่เดิม และศักยภาพใหม่ๆ ของบริษัท เข้ากับการสานความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับลูกค้าอยู่เสมอ เพื่อพัฒนาประสบการณ์ให้ลูกค้ามีความผูกพันกับแบรนด์ยิ่งขึ้น  ฟอร์ดพัฒนาและส่งมอบผลิตภัณฑ์สำหรับทุกคน ทั้งรถกระบะ รถยนต์นั่งอเนกประสงค์ รถตู้ และรถยนต์นั่งส่วนบุคคลภายใต้แบรนด์ฟอร์ด และรถยนต์หรูภายใต้แบรนด์ลินคอล์น ไปจนถึงนวัตกรรมการบริการหลังการขายที่ล้ำสมัย บริษัทดำเนินงานผ่าน 3 กลุ่มธุรกิจที่มีลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ประกอบด้วย ฟอร์ด บลู ที่พัฒนารถยนต์ไฮบริดและรถยนต์สันดาปที่มีเอกลักษณ์ ฟอร์ด โมเดล อี ที่คิดค้นอีกขั้นของรถยนต์ไฟฟ้า อัดแน่นด้วยซอฟต์แวร์ที่สร้างนิยามใหม่ให้กับประสบการณ์อันเหนือชั้นด้านดิจิทัลสำหรับผู้บริโภค และฟอร์ด โปร ที่ช่วยลูกค้ารถยนต์เพื่อการพาณิชย์เดินหน้าและขยายธุรกิจด้วยผลิตภัณฑ์และบริการที่ตรงตามความต้องการของลูกค้าแต่ละราย นอกจากนี้ฟอร์ดยังมุ่งมั่นที่จะพัฒนาธุรกิจรถยนต์อื่นๆ ผ่านฟอร์ด เน็กซ์ อีกทั้งยังให้บริการด้านการเงินผ่านบริษัท ฟอร์ด มอเตอร์ เครดิต โดยปัจจุบัน ฟอร์ดมีพนักงานประมาณ 175,000 คนทั่วโลก สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับฟอร์ด ผลิตภัณฑ์ของฟอร์ด และฟอร์ด มอเตอร์ 

8
ตรวจอาการเบื้องต้นด้วยตนเอง: บิดอะมีบา (Amebiasis)

อะมีบา เป็นโปรโตซัว (สัตว์เซลล์เดียว) ชนิดหนึ่ง สามารถเข้าไปทำให้เกิดการติดเชื้อในลำไส้ กลายเป็นลำไส้ใหญ่อักเสบ (colitis) เรียกว่า บิดอะมีบา หรือเข้าไปในตับทำให้เกิดฝีในตับ เรียกว่า ฝีตับอะมีบา

บิดอะมีบา (บิดมีตัว) พบได้ในคนทุกวัย แต่พบมากในคนอายุมากกว่า 20 ปีขึ้นไป

บิดชนิดนี้พบได้น้อยกว่าบิดชิเกลลา มักพบในท้องถิ่นที่การสุขาภิบาลยังไม่ดี หรือในกลุ่มคนที่ยังขาดสุขนิสัยที่ดี

การติดเชื้อมักเกิดได้บ่อยในสถานพักฟื้นของผู้สูงอายุหรือผู้ป่วยทางจิตเวช และในกลุ่มชายรักร่วมเพศ

ผู้ที่ติดเชื้อส่วนใหญ่มักไม่มีอาการแสดง แต่เป็นพาหะแพร่เชื้อให้ผู้อื่น ส่วนน้อยจะกลายเป็นโรคบิดอะมีบา โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์จัด ขาดอาหาร ป่วยเป็นมะเร็ง ใช้ยาสเตียรอยด์หรือยากดภูมิคุ้มกัน ผู้สูงอายุ เด็กเล็ก หญิงตั้งครรภ์หรือหลังคลอดอาจเกิดอาการรุนแรง และมีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงได้

สาเหตุ

เกิดจากการติดเชื้ออะมีบา (ameba) ที่มีชื่อว่า เอนตามีบาฮิสโตไลติคา (Entamoeba histolytica) ซึ่งอยู่ตามดินและแหล่งน้ำธรรมชาติ รวมทั้งอาจปนเปื้อนอยู่ในสระว่ายน้ำและน้ำประปา ส่วนใหญ่ติดต่อโดยการกินอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อจากผู้ที่เป็นพาหะ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่จัดเตรียมหรือทำอาหารให้ผู้อื่น) หรือปนเปื้อนดินหรือน้ำที่มีเชื้อ นอกจากนี้ยังติดต่อโดยการดื่มน้ำแบบดิบ ๆ และการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่ติดเชื้อ หรือการมีเพศสัมพันธ์ที่มีการใช้ปากสัมผัสกับทวารหนักหรือองคชาตที่ปนเปื้อนเชื้อจากอุจจาระในบริเวณทวารหนัก (ซึ่งพบในกลุ่มชายร่วมเพศ)

ระยะฟักตัว 1 สัปดาห์ถึง 3 เดือน (ส่วนใหญ่ 8-10 วัน)
 

อาการ

ในรายที่เป็นเฉียบพลัน อาจแสดงอาการได้ 3 ลักษณะตามความรุนแรงของโรคดังนี้

ในรายที่มีการติดเชื้อเล็กน้อยถึงปานกลาง จะมีอาการปวดบิดในท้อง มีลมในท้องมาก ท้องอืด ถ่ายอุจจาระเหลววันละ 3-5 ครั้ง อาจมีมูกปนเล็กน้อย (โดยไม่มีเลือดปน) หรือไม่ก็ได้ ส่วนใหญ่มักไม่มีไข้ หรือมีไข้ต่ำ

ในรายที่มีการติดเชื้อมาก จะมีอาการของลำไส้ใหญ่อักเสบหรือโรคบิดชัดเจน คือ ปวดท้อง ปวดเบ่งที่ก้นคล้ายถ่ายไม่สุด และถ่ายเป็นมูกเลือดทีละน้อย ซึ่งมีเนื้ออุจจาระปนน้อยมาก มักมีกลิ่นเหม็นเหมือนหัวกุ้งเน่า ผู้ป่วยจะถ่ายกะปริดกะปรอยวันละ 10-20 ครั้ง หรือมากกว่า ระยะนี้ผู้ป่วยเดินเหินไปไหนมาไหนและทำงานได้

อาการถ่ายเหลวหรือถ่ายเป็นมูกเลือดดังกล่าว มักจะเป็นอยู่นานหลายวันถึงหลายสัปดาห์ แล้วอาจทุเลาไปได้เองสักระยะหนึ่ง หากไม่ได้รับการรักษาก็จะมีอาการกำเริบซ้ำได้บ่อย ๆ

ในรายที่ติดเชื้อรุนแรง ซึ่งมักพบในเด็กเล็ก จะมีอาการคล้ายบิดชิเกลลา คือ มีไข้สูง ปวดท้องมาก คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลียมาก ถ่ายเป็นน้ำปริมาณมากวันละ 10-20 ครั้ง มักมีเลือดปน และมักมีภาวะขาดน้ำซึ่งอาจรุนแรงถึงช็อกได้ 

ในรายที่เป็นเรื้อรัง จะมีอาการปวดท้อง ท้องอืด อ่อนเพลีย ถ่ายอุจจาระเหลว (อาจมีมูกปน) วันละ 3-5 ครั้ง หรือถ่ายเป็นมูกเลือดกะปริดกะปรอย เป็นๆ หายๆ เรื้อรังนานเป็นแรมเดือนแรมปี ผู้ป่วยมักมีอาการน้ำหนักลดร่วมด้วย และในช่วงที่ไม่มีอาการท้องเดินอาจมีอาการท้องผูกสลับด้วย อาการแสดงบางครั้งอาจแยกไม่ออกจากมะเร็งลำไส้ใหญ่


ภาวะแทรกซ้อน

ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องอาจกลายเป็นโรคบิดเรื้อรัง มีอาการอ่อนเพลีย ซีด น้ำหนักลด ซูบผอม อาจเกิดก้อนอะมีโบมา (เกิดจากการติดเชื้ออะมีบาเรื้อรังร่วมกับการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน) ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการของลำไส้อุดกั้น จากภาวะลำไส้กลืนกันเอง (intussusception)

บางรายอาจเกิดแผลขนาดใหญ่ที่กระพุ้งลำไส้ใหญ่ (cecum) ตรงบริเวณท้องน้อยข้างขวา ทำให้มีไข้สูง ท้องอืดมาก ท้องเดิน กดเจ็บ คล้ายไส้ติ่งอักเสบ (ส่วนไส้ติ่งอักเสบจากเชื้ออะมีบาก็อาจพบได้แต่ค่อนข้างน้อย)

ในรายที่เป็นรุนแรงอาจเกิดภาวะลำไส้ใหญ่อักเสบชนิดเร็วร้าย (fulminant colitis) ซึ่งมักพบในเด็กเล็ก หญิงตั้งครรภ์ ผู้ที่มีภาวะขาดอาหาร หรือใช้ยาสเตียรอยด์ ทำให้มีการหลุดลอกของเยื่อบุลำไส้ใหญ่ปริมาณมาก และตกเลือดรุนแรงเป็นอันตรายถึงตายได้

ภาวะร้ายแรงอื่น ๆ เช่น ลำไส้ใหญ่ทะลุทำให้เกิดเยื่อบุช่องท้องอักเสบตามมา ภาวะลำไส้ใหญ่พอง (toxic megacolon) ทำให้ผนังลำไส้แตกได้

นอกจากนี้ ยังอาจเกิดภาวะลำไส้ใหญ่ตีบ (ถ่ายอุจจาระลำบาก) หรือแผลที่ผิวหนังตรงบริเวณรอบ ๆ ทวารหนัก

เชื้ออาจแพร่กระจายผ่านกระแสเลือดไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ที่พบบ่อยคือ ตับ ทำให้เป็นฝีตับอะมีบา ส่วนน้อยอาจแพร่ไปที่ปอดและสมอง ทำให้เกิดการอักเสบหรือเป็นฝี

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกาย โดยมีสิ่งตรวจพบ ดังนี้

ในรายที่เป็นไม่มากอาจตรวจไม่พบอะไรชัดเจน บางรายอาจพบอาการท้องอืด ใช้เครื่องฟังตรวจที่หน้าท้องจะได้ยินเสียงโครกครากของลำไส้มากกว่าปกติ อาจมีอาการกดเจ็บเล็กน้อยตรงบริเวณท้องส่วนล่าง หรือคลำได้ตับโตเล็กน้อย

ในรายที่เป็นมากมักมีไข้สูง มีภาวะขาดน้ำ กดเจ็บทั่วบริเวณท้อง อาจพบตับโตและกดเจ็บ ความดันต่ำ

ในรายที่เป็นเรื้อรังอาจคลำได้ก้อนที่บริเวณท้องน้อยข้างขวา เรียกว่า อะมีโบมา (ameboma) ทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นมะเร็งได้

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการตรวจหาเชื้อในอุจจาระ บางรายอาจทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น การใช้กล้องส่องตรวจลำไส้ใหญ่ (sigmoidocopy‚ colonoscopy) การทดสอบทางน้ำเหลืองด้วยวิธี ELISA เป็นต้น


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ให้การรักษาตามอาการ (เช่น ยาลดไข้ ให้อาหารบำรุงร่างกาย) และให้ยาปฏิชีวนะ เช่น เมโทรไนดาโซล หรือทินิดาโซล

2. ถ้ามีอาการปวดท้องรุนแรง หน้าท้องกดเจ็บมากหรือเกร็งแข็ง ตับโตและกดเจ็บมาก ถ่ายเป็นเลือดรุนแรง ปวดศีรษะรุนแรง หายใจหอบหรือชัก แพทย์จะรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล

3. ถ้ามีอาการเป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง คลำได้ก้อนในท้อง หรือน้ำหนักลดฮวบ แพทย์จะทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติมเพื่อหาสาเหตุ เช่น เอกซเรย์ การตรวจอัลตราซาวนด์ การใช้กล้องส่องตรวจลำไส้ใหญ่ (sigmoidocopy‚ colonoscopy) เป็นต้น และให้การรักษาตามสาเหตุที่พบ

ผลการรักษา ส่วนใหญ่หายเป็นปกติใน 1-3 สัปดาห์ ส่วนน้อยที่เกิดภาวะแทรกซ้อน ซึ่งหากรักษาได้ทันการณ์ก็จะหายเป็นปกติได้ แต่ถ้าได้รับการรักษาล่าช้าไป ก็อาจได้รับอันตรายถึงเสียชีวิตได้


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการถ่ายเป็นมูกหรือมูกปนเลือดกะปริดกะปรอย มูกมีกลิ่นเหม็นเหมือนหัวกุ้งเน่า ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นบิดอะมีบา ควรดูแลตนเอง ดังนี้
 
1. ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
 
2. กินยาปฏิชีวนะตามขนาดและครบระยะเวลาตามที่แพทย์แนะนำอย่างเคร่งครัด
 
3. ติดตามการรักษากับแพทย์ตามนัด
 
4. ควรกลับไปพบแพทย์ ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีไข้สูง หรือมีอาการหนาวสั่นร่วมด้วย
    ปวดศีรษะรุนแรง ชัก ปวดท้องรุนแรง หรืออาเจียน 
    หายใจหอบ ตาเหลืองตัวเหลือง หรือน้ำหนักลด 
    ท้องผูกหรือถ่ายอุจจาระลำบาก
    คลำได้ก้อนในท้อง
    ถ่ายอุจจาระเป็นเลือด
    หลังกินยามีผื่นคัน ตุ่มพุพอง ปากบวม ตาบวม คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีความผิดปกติอื่น ๆ
    กินยาที่แพทย์แนะนำ 4-5 วันแล้วไม่ดีขึ้น
    มีความวิตกกังวล

การป้องกัน

ปฏิบัติเช่นเดียวกับการป้องกันบิดชิเกลลา และท้องเดินจากเชื้อไกอาร์เดีย


ข้อแนะนำ

1. หลังการให้ยารักษา ถึงแม้ว่าอาการจะทุเลาเป็นปกติแล้ว แต่ถ้าเป็นไปได้ควรทำการตรวจดูเชื้อในอุจจาระในเดือนที่ 1‚ 3 และ 6 หลังการรักษา ทั้งนี้เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีเชื้อหลงเหลือซึ่งอาจทำให้โรคกำเริบใหม่ได้

2. ผู้ที่ติดเชื้ออะมีบาอาจมีอาการท้องเดิน (ถ่ายเหลว หรือถ่ายเป็นมูกไม่มีเลือดปน) เป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรังได้ หากสงสัยควรส่งตรวจดูเชื้ออะมีบาในอุจจาระ

3. ในผู้ที่ติดเชื้ออะมีบาบางรายอาจไม่มีอาการแสดงแต่อย่างใด แต่สามารถแพร่เชื้อออกทางอุจจาระไปให้ผู้อื่น เรียกว่า พาหะ (carrier) ของโรคบิดอะมีบา หากร่างกายมีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น กินยาสเตียรอยด์ก็อาจกลายเป็นโรคตามมาได้


9
ลักษณะโรงงานที่จำเป็นต้องติดตั้งท่อลมร้อน

โรงงานอุตสาหกรรมหลายประเภทจำเป็นต้องติดตั้งท่อลมร้อน เนื่องจากกระบวนการผลิตหรือสภาพแวดล้อมการทำงานมีความต้องการที่เกี่ยวข้องกับอุณหภูมิที่สูงขึ้น การใช้ท่อลมร้อนช่วยให้การส่งผ่านความร้อนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และควบคุมได้ดีกว่าการใช้แหล่งความร้อนแบบเปิด นี่คือลักษณะของโรงงานที่มักจะต้องติดตั้งท่อลมร้อน:

1. โรงงานที่มีกระบวนการอบแห้ง (Drying Processes)

โรงงานที่ผลิตสินค้าที่ต้องผ่านกระบวนการลดความชื้นหรือทำให้แห้ง ถือเป็นกลุ่มหลักที่ใช้ท่อลมร้อนอย่างแพร่หลาย การอบแห้งด้วยลมร้อนช่วยให้ผลิตภัณฑ์มีคุณภาพดีขึ้น ยืดอายุการเก็บรักษา และลดเวลาการผลิต

อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม: โรงงานผลิตขนมปัง, ขนมขบเคี้ยว, ผลไม้อบแห้ง, อาหารสัตว์, กาแฟ, ใบชา, หรือธัญพืช
อุตสาหกรรมสิ่งทอ: โรงงานผลิตผ้า, เสื้อผ้าสำเร็จรูป, เส้นด้าย ที่ต้องผ่านการอบแห้งหลังการย้อมสีหรือการซัก
อุตสาหกรรมไม้และเฟอร์นิเจอร์: โรงงานอบไม้เพื่อลดความชื้น ป้องกันการบิดงอหรือแตกร้าวของไม้
อุตสาหกรรมสีและสารเคลือบ: โรงงานที่ต้องอบชิ้นงานที่พ่นสีหรือเคลือบสาร เพื่อให้แห้งและแข็งตัว
อุตสาหกรรมเซรามิกและอิฐ: โรงงานอบผลิตภัณฑ์ดินเผาหรืออิฐ เพื่อไล่ความชื้นก่อนนำไปเผาจริง
อุตสาหกรรมยาและเคมีภัณฑ์: การอบแห้งเม็ดยา ผงเคมี หรือวัสดุอื่น ๆ ที่ต้องควบคุมความชื้นอย่างเข้มงวด


2. โรงงานที่มีกระบวนการให้ความร้อนเฉพาะจุด (Localized Heating Processes)

โรงงานที่ต้องการควบคุมอุณหภูมิในพื้นที่เฉพาะ หรือให้ความร้อนแก่เครื่องจักร/สารเคมีโดยตรง

อุตสาหกรรมพลาสติกและยาง: การให้ความร้อนแก่แม่พิมพ์, การบ่มผลิตภัณฑ์ยาง, การหลอมเม็ดพลาสติกก่อนขึ้นรูป
อุตสาหกรรมโลหะ: การพรีฮีทชิ้นงานโลหะก่อนการเชื่อมหรือการขึ้นรูป เพื่อป้องกันการแตกร้าวจากการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิอย่างรวดเร็ว
อุตสาหกรรมเคมีและปิโตรเคมี: การให้ความร้อนแก่ถังปฏิกรณ์, ถังผสม, หรือท่อส่งสารเคมี เพื่อรักษาอุณหภูมิให้คงที่สำหรับการเกิดปฏิกิริยาหรือรักษาสภาพของสาร
อุตสาหกรรมพลังงาน: ในบางกระบวนการของโรงไฟฟ้าหรือโรงงานผลิตพลังงาน อาจมีการใช้ลมร้อนเพื่อพรีฮีทอากาศหรือเชื้อเพลิง


3. โรงงานที่ต้องการควบคุมอุณหภูมิสภาพแวดล้อม (Environmental/Space Heating)

ในบางกรณี ท่อลมร้อนอาจไม่ได้ใช้กับกระบวนการผลิตโดยตรง แต่ใช้เพื่อควบคุมอุณหภูมิในพื้นที่ทำงาน เพื่อความสบายของพนักงาน หรือเพื่อรักษาสภาพของผลิตภัณฑ์/วัตถุดิบ

คลังสินค้าที่ต้องการควบคุมอุณหภูมิ: เพื่อป้องกันสินค้าเสียหายจากความเย็นจัด หรือเพื่อให้เหมาะสมกับการเก็บรักษาสินค้าบางประเภท
พื้นที่ทำงานในห้องเย็น หรือสภาพอากาศหนาวเย็น: เพื่อให้ความอบอุ่นแก่บุคลากรที่ทำงานในพื้นที่นั้นๆ


4. โรงงานที่มีระบบนำความร้อนกลับมาใช้ใหม่ (Heat Recovery Systems)

โรงงานที่มีการผลิตความร้อนเหลือทิ้งจากกระบวนการอื่น ๆ และต้องการนำความร้อนนั้นกลับมาใช้ให้เกิดประโยชน์

โรงงานเหล็ก, โรงไฟฟ้า, โรงงานผลิตแก้ว: มีความร้อนทิ้งปริมาณมาก สามารถนำความร้อนเหล่านี้ผ่านระบบแลกเปลี่ยนความร้อน แล้วส่งลมร้อนที่ได้ไปใช้ในกระบวนการอื่น ๆ ผ่านท่อลมร้อน

โรงงานที่มีเตาเผาขนาดใหญ่: ความร้อนจากก๊าซไอเสียสามารถนำมาแลกเปลี่ยนความร้อนกับอากาศสะอาด แล้วส่งอากาศร้อนนั้นไปใช้ในกระบวนการอบแห้งหรือให้ความร้อนได้
โดยสรุปแล้ว โรงงานที่จำเป็นต้องติดตั้งท่อลมร้อนมักจะมีลักษณะร่วมกันคือ มีความต้องการอุณหภูมิที่สูง (High Temperature Requirements), ต้องการการควบคุมอุณหภูมิที่แม่นยำ (Precise Temperature Control), ต้องการความสะอาดของลมร้อน (Clean Air Requirement), หรือ ต้องการการส่งผ่านความร้อนอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย ไปยังจุดต่างๆ ในโรงงาน.

10
จัดฟันบางนา: การเตรียมตัว ขณะจัดฟัน

ก่อนที่เราจะตัดสินใจ ที่จะ จัดฟัน เราต้องเข้าใจ ถึงวิธีการ และการดูแลตนเอง ในขณะจัดฟันด้วย การพบทันตแพทย์ ก่อนการจัดฟัน ทันตแพทย์จะอธิบาย ถึงการดูแลตนเอง ในขณะจัดฟัน ซึ่งการ จัดฟัน นั้นคือการดึงฟันที่ผิดปรกติ เช่น ฟันหน้ายื่น ทำให้เคี้ยวบดอาหารไม่ได้ หรือการเรียงตัวของฟันไม่ตรงตำแหน่ง ให้อยู่ในตำแหน่งที่ปรกติ การรักษา ช้าเร็ว ขึ้นอยู่กับสภาพ และปัญหาฟันของแต่ละคน รวมถึง การเลือกวิธีการที่จะจัดฟันด้วย ซึ่งปัจจุบัน มีหลากหลาย วิธีจัดฟัน ให้เลือก

สิ่งที่ต้องเตรียมตัว เมื่อเราจะต้องจัดฟัน

    งบประมาณ การเลือกวิธีการจัดฟัน จะมีราคาที่แตกต่างกัน ตามอุปกรณ์ และเครื่องมือ ที่ใช้ในการจัดฟัน ก่อนที่จะจัดฟัน ต้องพบทันตแพทย์ และศึกษา รูปแบบ ของการจัดฟัน ในแต่ละรูปแบบ ที่เหมาะสมกับงบประมาณ ที่เรามี เพราะเราต้องเตรียมงบประมาณ เนื่องด้วย การจัดฟัน ต้องทำต่อเนื่อง ตามที่ทันตแพทย์นัด จนจัดฟันเสร็จ

    การสร้างระเบียบวินัยให้กับตัวเอง สำคัญมาก คือวินัย ในขณะจัดฟัน เราต้องปฏิบัติตามที่ทันแพทย์ แนะนำ อย่างเคร่งครัด และต้องมาตามที่นัด อย่างต่อเนื่อง หากเกิดความผิดปกติ ต้องรีบไปพบทันตแพทย์ ทันที เพื่อแก้ไข ความผิดปกตินั้นๆ

    การดูแลทำความสะอาด เนื่องจาก ภายหลังจากการจัดฟัน จะส่งผลให้การทำความสะอาดยากขึ้น ใช้เวลานานขึ้น อาจจะต้องใช้การแปรงฟัน น้ำยาบ้วนปาก ใหมขัดฟัน ทั้งนี้ เพื่อป้องกัน เศษอาหารอุดตันที่เหล็กดัดฟัน ซึ่งจะทำให้เกิดฟันผุได้

    แผลในปาก เป็นเรื่องปกติของคนจัดฟัน และหลีกเลี่ยงยากมาก เพราะในปากมีเหล็กที่ติดกับฟันอยู่ หากเราขยับปากมากเกินไป ก็ทำให้เหล็กเสียดสีกับปากแล้วเกิดแผลในปากได้ จึงต้องคอยดูแลตนเอง หากมีแผลในปาก ก็รีบไปพบ ทันตแพทย์ เพื่อทำการรักษา อาการแผลในปาก และต้องหมั่น ดูแลเรื่องความสะอาดภายในช่องปาก อย่างเคร่งครัดด้วย

    อาการปวดฟัน เป็นธรรมดา ของการจัดฟัน ที่มีการนำเหล็กมายึด และดึงฟันเข้าหากัน ย่อมส่งผล ให้เกิดอาการปวดทุกครั้ง ที่ใส่เครื่องมือใหม่ หากเป็นมาก ให้รีบไปพบทันตแพทย์ ทันที เพื่อดูความผิดปกติ ที่เกิดขึ้น และแก้ไข โดยด่วน

    การกินอาหาร ต้องเลือกอาหารที่เหมาะสม อย่างที่เรารู้กันว่า การจัดฟัน เราจะไม่สามารถใช้ฟันหน้ากัดของแข็งได้เลย เพราะอาจจะทำให้อุปกรณ์เครื่องมือที่ยึดกับฟันไว้หลุดออกได้ เราจึงต้องควรเลือกกินอาหารที่เคี้ยวง่าย และ ขนาดของชิ้นพอดี ไม่ใหญ่มาก ไม่แข็งมาก ไม่เหนียวมาก

    การเลือกสถานที่จัดฟัน เป็นสิ่งที่สำคัญมาก เราต้องเลือก สถานที่ และทันแพทย์ ที่เราเชื่อถือ และไว้วางใจ สถานที่ต้องสะอาด ทันตแพทย์ ต้องเป็นผู้มีความชำนาญ ในการจัดฟัน ในแต่ละรูปแบบ ที่เราต้องการจะใช้บริการ ควรศึกษาคลีนิคต่างๆและเลือกทันตแพทย์ให้ดี ทันตแพทย์ที่ดีคือทันตแพทย์เพื่อทางนี้โดยเฉพาะ ก็จะทำให้เรา ได้รับบริการที่ดี

ก่อนจะจัดฟัน ต้องศึกษา ถึงรายละเอียด ของวิธีการจัดฟันแบบต่างๆ ที่เหมาะสมกับตัวเรา และงบประมาณของเรา และเลือกคลีนิก กับทันตแพทย์ ที่เราเชื่อถือ ในบริการ เพื่อให้ได้รับบริการที่ดี นั่นเอง

11
คอนโดติดรถไฟฟ้า โซ ออริจิ้น พหล 69 (So Origin Phahol 69)
เริ่มต้น 2.99 ลบ.

โซ ออริจิ้น พหล 69 (So Origin Phahol 69)
คอนโดระดับ Luxury บนทำเลศักยภาพ แห่งเดียวบนถนนพหโยธิน เชื่อมต่อทุกการเดินทาง อย่างไร้รอยต่อ ห้องรูปแบบใหม่ตอบโจทย์ทุกฟังก์ชั่นการใช้งาน การผสมผสานที่อยู่อาศัยและการบริการระดับโรงแรม ติด BTS สายสีเขียว สถานีสายหยุด เพียง 50 เมตร ใกล้สนามบินดอนเมืองเพียง 10 นาที

 รายละเอียดโครงการ
 ชื่อโครงการ                   โซ ออริจิ้น พหล 69 (So Origin Phahol 69)
 เจ้าของโครงการ               ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้
 แบรนด์ย่อย                    โซ ออริจิ้น
 ราคา                           เริ่มต้น 2.99 ลบ.
 ราคาเฉลี่ยต่อตร.ม.           โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ลักษณะทำเล                  คอนโดใกล้ขนส่งสาธารณะ
 ความสูงคอนโด               High Rise (9 ชั้นขึ้นไป)
 ลักษณะกรรมสิทธิ์           โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ประเภทห้องที่มี              1 ห้องนอน
 ขนาดห้องที่มี                โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 เนื้อที่ทั้งหมด                 3 ไร่
 จำนวนตึก                   1 อาคาร
 จำนวนชั้น                   14 ชั้น
 จำนวนห้อง                 520 ยูนิต
 ที่จอดรถทั้งหมด            โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ค่าบำรุงส่วนกลาง           โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 สาธารณูปโภค              สระว่ายน้ำ, ฟิตเนส, รปภ., กล้องวงจรปิดโครงการ, ประตู Key Card, Co-Working Space, ห้องประชุม

 สถานที่ใกล้เคียง
 โซน            แจ้งวัฒนะ, หลักสี่, ดอนเมือง, บางเขน
 ที่ตั้ง           ถ. พหลโยธิน แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร 10220
 ขนส่งสาธารณะ
รถไฟฟ้า:                ใกล้รถไฟฟ้า, รถไฟฟ้าสายสีเขียวเข้ม, สถานี(หมอชิต - คูคต)(สายหยุด)

 สถานที่สำคัญใกล้เคียง
Big C สะพานใหม่
Central รามอินทรา
Big C รามอินทรา
มหาวิทยาลัยนอร์ทกรุงเทพ
มหาวิทยาลัยศรีปทุม
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
โรงพยาบาลซีจีเอช
โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช
โรงพยาบาลจุฬาภรณ์
โรงพยาบาลเปาโลเกษตร

12
บริการด้านอาหาร: ประโยชน์ของไขมันคืออะไร

หากพูดถึงไขมัน แค่ได้ยินชื่อ หลายคนก็คงคิดว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดีและเป็นอันตรายต่อร่างกายเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะสาวๆที่รักสุขภาพและกำลังลดน้ำหนัก อาจจะคิดว่าไขมันเป็นต้นเหตุของการเกิดโรคอ้วน หรือเป็นต้นเหตุที่ทำให้เราน้ำหนักขึ้น แต่ในความเป็นจริงแล้วไขมัน ก็คือ ส่วนประกอบของอาหารชนิดหนึ่งที่อยู่ในสารอาหารหลัก 5 หมู่ ก็คือสารอาหาร ประเภทไขมันนั่นเอง ไขมัน ไม่ได้มีแต่โทษตามที่ใครหลายคนคิดเท่านั้น แต่ยังมีประโยชน์ที่ดีกับร่างกายของเราด้วย หากรับประทานอย่างถูกวิธีในปริมาณที่เหมาะสม ก็จะทำให้เราไม่เสี่ยงที่เป็นโรคอ้วนได้ เพราะชนิดของไขมันก็สำคัญไม่แพ้กัน

หากเลือกรับประทานไขมันชนิดที่เหมาะสม ก็จะช่วยให้ร่างกายห่างไกลจากโรคต่าง ๆ ซึ่งต้องบอกว่า พฤติกรรมการรับประทานอาหารของแต่ละคนนั้น ย่อมมีความแตกต่างกัน บางคนชื่นชอบรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง หรือบางคนเลือกที่จะเลี่ยงการรับประทานไขมัน เช่น การหันไปรับประทานอาหารคลีน หรืออาหารที่ไม่ต้องผ่านกระบวนการการปรุงอาหารมาก แต่อย่างที่กล่าวไปตั้งแต่ต้นว่า การรับประทานไขมันก็ดีต่อร่างกาย และเป็นสิ่งที่ร่างกายขาดไม่ได้ ดังนั้น เราจะต้องเลือกรับประทานให้เหมาะสม และต้องทราบว่า ไขมันนั้นมีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างไรบ้าง วันนี้เราจะมาพูดถึงประโยชน์ของไขมันที่หลายคนอาจจะยังไม่เคยรู้ว่ามันดีต่อร่างกายอย่างไ
 
 
อาหารประเภทไขมัน จะให้พลังงานต่อร่างกาย เพื่อให้สามารถนำพลังงานที่ได้รับไปใช้ทำกิจกรรมในชีวิตประจำวัน โดยไขมัน 1 กรัม จะให้พลังงานประมาณ 9 กิโลแครอลี่ และยังเก็บเป็นพลังงานสำรองของร่างกายเอาไว้ หากร่างกายขาดพลังงานที่มาจากคาร์โบไฮเดรต ไขมันช่วยสร้างความอบอุ่นให้กับร่างกาย โดยไขมันจะถูกเก็บไว้ใต้ผิวหนัง และช่วยป้องกันการกระทบกระเทือนของอวัยวะภายในร่างกายได้อีกด้วย เป็นตัวช่วยในการละลายวิตามินต่างๆที่ร่างกายได้รับไป เช่น วิตามิน A วิตามิน D วิตามิน E และ วิตามิน K

เพื่อให้ร่างกายสามารถดูดซึมวิตามินเหล่านี้ไปใช้งาน โดยไขมันจะถูกแบ่งออกเป็น คอเลสเตอรอล อยู่ในอาหารประเภทเนื้อสัตว์หรือผลิตภัณฑ์ของสัตว์ เช่น นม เนย และไตรกลีเซอไรด์ เป็นไขมันหลักที่เรารับประทานจากอาหาร แบ่งเป็นไขมันอิ่มตัว อาทิ ไขมันจากสัตว์ ไขมันจากนม เนย ชีส และจากพืชบางชนิด เช่น น้ำมันปาล์ม น้ำมันมะพร้าว กะทิเป็นต้น และไขมันไม่อิ่มตัว ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว คือไขมันที่ภายในโมเลกุลมีพันธะคู่อยู่ตำแหน่งเดียว พบได้ในน้ำมันมะกอก น้ำมันคาโนล่า น้ำมันรำข้าว น้ำมันเมล็ดชา ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน คือไขมันที่ภายในโมเลกุลมีพันธะคู่อยู่หลายตำแหน่ง พบได้ในน้ำมันพืชทั่วไป เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันรำข้าว น้ำมันงา เป็นต้น


แต่อย่างไรก็ตาม เราจะต้องรับประทานไขมันในปริมาณที่พอดีกับความต้องการของร่างกาย รับประทานไขมันธรรมชาติ โดยควรรับประทานไขมันไม่อิ่มตัวเป็นหลัก และไขมันที่ดีที่สุดคือไขมันจากพืช ช่วยลดโอกาสการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจในระยะยาว ควรหลีกเลี่ยงคือไขมันทรานส์ เพราะส่งผลเสียต่อร่างกายมากที่สุด และควรเลือกรับประทานอาหารอย่างหลากหลาย เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วน

รวมทั้งออกกำลังกายอย่างเหมาะสมเพื่อสุขภาพที่แข็งแรงและห่างไกลโรค และหากมีโรคประจำตัวก็ควรไปพบแพทย์ก่อนเปลี่ยนวิธีรับประทานอาหารให้เหมาะกับสุขภาพของเรา เพื่อป้องกันความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นตามมาภายหลัง ดังนั้น เมื่อเรารู้วิธีการรับประทานอาหารที่มีไขมันแล้ว ก็ควรเลือกรับประทานให้เหมาะสม เพื่อให้ห่างไกลจากภาวะโรคอ้วน และสำหรับสาวๆที่กำลังปั้นหุ่น แน่นอนว่า สามารถนำวิธีการเหล่านี้ไปปรุงอาหารในแบบที่ตัวเองชอบได้ อาจจะใส่วัตถุดิบอื่นๆลงไป เพื่อให้ได้รับการอาหารอย่างครบถ้วน


อย่างไรก็ตาม เราทุกคนควรพยายามรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ และรับประทานในแต่ละหมู่ให้มีความหลากหลาย โดยเฉพาะคนที่มีโรคประจำตัว ต้องระมัดระวังในการรับประทานอาหารให้มากเป็นพิเศษ และต้องรับประทานอาหารให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารต่างๆ ครบในปริมาณที่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย ทางเราอยากให้ทุกคนมีสุขภาพที่ดี ซึ่งเน้นย้ำมาตลอดให้ทุกคนเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และที่สำคัญควรจะหมั่นออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง ห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บ เพราะเราอยากให้ทุกคนมีสุขภาพที่แข็งแรง ปราศจากโรคที่อาจจะก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพได้

13
ปล่อยรถผู้บริหาร BMW iX xDrive50 Sport ราคาและโปรโมชั่นพิเศษ

บีเอ็มดับเบิลยู BMW i X xDrive50 Sport ปี 2022
BMW iX xDrive50 Sport ใหม่ ขับเคลื่อนด้วยขุมพลัง BMW eDrive เจเนอเรชันที่ 5 พร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบไฟฟ้า BMW xDrive Electric ติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าจำนวน 2 ตัว ที่ให้กำลังรวมสูงสุด 523 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 765 นิวตัน-เมตร สามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลา 4.6 วินาที ทำความเร็วสูงสุดได้ 200 กม./ชม. เสริมด้วยระบบป้องกันการลื่นไถลของล้อ (Near-actuator wheel slip limitation) ทำงานคู่กับระบบขับเคลื่อนสี่ล้อเป็นครั้งแรก (ราคาขายรวม BSI STANDARD Package)

หมายเหตุ : รายละเอียดของรถยนตอ์าจมีการเปลี่ยนแปลงภายหลัง

รถผู้บริหาร รถทดลองขับ ไมล์น้อย ราคาและโปรโมชั่นพิเศษ

โปรโมชั่นพิเศษ
ตั้งแต่ 17 มี.ค. - 31 มี.ค. 2568
BMW BEV-BSI Ultimate (BSI 6/UN + War 6/UN) bsi เริ่มต้น 9-May-24 ถึง 8-May-30

ราคาพิเศษ 4,300,000 บาท

สนใจสอบถามรายละเอียดกดลิ้ง https://www.checkraka.com/flashdeal/car

ข้อมูลทั่วไป

มอเตอร์ไฟฟ้า                       มอเตอร์ไฟฟ้า 523 แรงม้า มอเตอร์ไฟฟ้าแรงบิดสูงสุด  765 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายใน 4.6 วินาทีความเร็วสูงสุด 200 กม./ชม. ระยะทางขับเคลื่่อนไฟฟ้า1, มาตรฐาน NEDC 570 กิโลเมตร, ระยะทางขับเคลื่่อนไฟฟ้า1, มาตรฐาน WLTP 549 - 630 กิโลเมตร

กำลังเครื่องยนต์ (แรงม้า)          523 แรงม้า
ระบบเกียร์                           เกียร์อัตโนมัติ
รูปแบบเกียร์                         ไฟฟ้า
ระบบเบรค ABS                     มี
ชนิดแบตเตอรี่                      ไฟฟ้า
ความจุแบตเตอรี่                    N/A
ระยะทางวิ่ง/การชาร์จ 1 ครั้ง      630 กิโลเมตร
น้ำหนักตัวรถ                             -
ประเภทยางรถยนต์                     -
ขนาดล้อ (นิ้ว)
ระบบขับเคลื่อน                    ขับเคลื่อนสี่ล้อ (BMW xDrive electric all-wheel drive)


14
หมอออนไลน์: โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid arthritis)

โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (โรคปวดข้อรูมาตอยด์ ก็เรียก) เป็นโรคเรื้อรังชนิดหนึ่ง พบได้ประมาณร้อยละ 1-3 ของคนทั่วไป พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายประมาณ 4-5 เท่า และพบมากในช่วงอายุ 20-50 ปี แต่ก็พบได้ในคนทุกเพศทุกวัย

สาเหตุ

โรคนี้พบว่ามีการอักเสบเรื้อรังของเยื่อบุข้อเกือบทุกแห่งทั่วร่างกายพร้อม ๆ กัน ร่วมกับมีการอักเสบของพังผืดหุ้มข้อ เส้นเอ็นและกล้ามเนื้อรอบ ๆ ข้อ เชื่อว่าเป็นผลมาจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายมีการตอบสนองอย่างผิดปกติต่อเชื้อโรค หรือสารเคมีบางอย่าง (ซึ่งในปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่นอน) ทำให้มีการสร้างสารภูมิต้านทาน (แอนติบอดี) ที่มีปฏิกิริยาต่อเนื้อเยื่อในบริเวณข้อของตัวเอง เรียกว่า ปฏิกิริยาภูมิต้านตนเอง (autoimmune)

พบว่าอาจมีปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคนี้ได้มากขึ้น เช่น การมีประวัติว่ามีพ่อแม่หรือญาติพี่น้องเป็นโรคนี้ การสูบบุหรี่ ภาวะน้ำหนักเกินหรืออ้วน

อาการ

ผู้ป่วยส่วนมากจะมีอาการค่อยเป็นค่อยไป เริ่มด้วยอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อและกระดูกนำมาก่อนนานเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน แล้วต่อมาจึงมีอาการอักเสบของข้อปรากฏให้เห็น

ส่วนน้อยอาจมีอาการของข้ออักเสบเกิดขึ้นฉับพลันภายหลังได้รับบาดเจ็บ เป็นโรคติดเชื้อ หลังผ่าตัด หลังคลอด หรืออารมณ์เครียด ซึ่งบางรายอาจมีอาการไข้ ต่อมน้ำเหลืองโต ม้ามโตร่วมด้วย

ข้อที่เริ่มมีอาการอักเสบก่อน ได้แก่ ข้อนิ้วมือนิ้วเท้า ข้อมือ ข้อเท้า ข้อเข่า ต่อมาจะเป็นที่ข้อไหล่ ข้อศอก

ผู้ป่วยจะมีลักษณะจำเพาะ คือมีอาการปวดข้อพร้อมกันและคล้ายคลึงกันทั้ง 2 ข้าง และข้อจะบวมแดงร้อน นิ้วมือนิ้วเท้าจะบวมเหมือนรูปกระสวย ต่อมาอาการอักเสบจะลุกลามไปทุกข้อทั่วร่างกาย ตั้งแต่ข้อขากรรไกรลงมาที่ต้นคอ ไหปลาร้า ข้อไหล ข้อศอก ข้อมือ ข้อนิ้วมือลงมาจนถึงข้อเท้าและข้อนิ้วเท้า

บางรายอาจมีอาการอักเสบของข้อเพียง 1 ข้อ หรือไม่กี่ข้อ และอาจเป็นเพียงข้างใดข้างหนึ่งของร่างกาย (ไม่เกิดพร้อมกันทั้ง 2 ข้างของร่างกาย) ก็ได้

อาการปวดข้อและข้อแข็ง (ขยับลำบาก) มักจะเป็นมากในช่วงตื่นนอนหรือตอนเช้า ทำให้รู้สึกขี้เกียจหรือไม่อยากตื่นนอน พอสาย ๆ หรือหลังมีการเคลื่อนไหวของร่างกายจะทุเลา

บางรายอาจมีการปวดข้อตอนกลางคืน จนนอนไม่หลับ

อาการปวดข้อจะเป็นอยู่ทุกวัน และมากขึ้นทุกขณะนานเป็นแรมเดือนแรมปี โดยมีบางระยะอาจทุเลาไปได้เอง แต่จะกลับกำเริบรุนแรงขึ้นอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะมีความเครียดหรือขณะตั้งครรภ์

ถ้าข้ออักเสบเรื้อรังอยู่หลายปี ข้ออาจจะแข็งและพิการได้

นอกจากนี้ ผู้ป่วยบางรายยังอาจมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ภาวะโลหิตจาง ฝ่ามือแดง มีผื่นหรือตุ่มขึ้นตามผิวหนัง อาการปวดชาปลายมือจากภาวะเส้นประสาทมือถูกพังผืดรัดแน่น อาการนิ้วมือนิ้วเท้าซีดขาวและเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำเวลาถูกความเย็น (Raynaud’s phenomenon) ต่อมน้ำเหลืองโต ม้ามโต ตาอักเสบ หูอื้อ หูตึง หัวใจอักเสบ หลอดเลือดแดงอักเสบ ปอดอักเสบ ภาวะมีน้ำในโพรงเยื่อหุ้มปอด ไข้ต่ำ ๆ น้ำหนักลด เป็นต้น

ภาวะแทรกซ้อน

ถ้าเป็นรุนแรงและเรื้อรังอาจทำให้ข้อพิการผิดรูปผิดร่าง ใช้การไม่ได้ บางรายอาจมีการผุกร่อนของกระดูก ในบ้านเราพบว่ามีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่อาจมีภาวะแทรกซ้อนดังกล่าว

นอกจากนี้ ผู้ที่เป็นโรคนี้ยังอาจมีความเสี่ยงต่อการเป็นเส้นประสาทมือถูกพังผืดรัดแน่น (โรคคาร์พัลทูนเนล) โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ มะเร็งต่อมน้ำเหลือง และโรคปอดเรื้อรัง (จากการอักเสบและกลายเป็นพังผืดของเนื้อเยื่อปอด)


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบ ดังนี้

ในระยะแรกอาจตรวจไม่พบอาการชัดเจน ในระยะที่เป็นมากอาจพบข้อนิ้วมือนิ้วเท้าบวมเหมือนรูปกระสวย

แพทย์จะทำการวินิจฉัยโดยการตรวจเลือดจะพบค่าอีเอสอาร์ (ESR)* และ c-reactive protein สูง และมักจะพบรูมาตอยด์แฟกเตอร์ (rheumatoid factor) และสารภูมิต้านทานที่มีชื่อว่า "Anti-cyclic citrullinated peptide (anti-CCP) antibodies"

การตรวจเอกซเรย์ข้อจะพบมีการสึกกร่อนของกระดูก และความผิดปกติของข้อ

นอกจากนี้ แพทย์อาจทำการตรวจอัลตราซาวนด์และถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) เพื่อประเมินความรุนแรงของโรค

*อีเอสอาร์ (ESR) ย่อจาก erythrocyte sedimentation rate หมายถึง อัตราการตกตะกอนของเม็ดเลือดแดง ค่าปกติต่ำกว่า 20 มม. ใน 1 ชั่วโมง


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

เริ่มแรกจะให้ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (เช่น ไอบูโพรเฟน ไดโคลฟีแนก นาโพรเซน)

ยานี้ต้องกินติดต่อกันทุกวัน นานเป็นเดือน ๆ หรือปี ๆ จนกว่าอาการจะทุเลา

ขณะเดียวกันก็จะให้การรักษาทางกายภาพบำบัดร่วมไปด้วย เช่น การใช้น้ำร้อนประคบ การแช่หรืออาบน้ำอุ่น ซึ่งมักจะแนะนำให้ทำในตอนเช้านาน 15 นาที

ผู้ป่วยควรพยายามขยับข้อต่าง ๆ อย่างช้า ๆ ท่าละ 10 ครั้ง ทำซ้ำทุก 1-2 ชั่วโมง จะช่วยลดอาการเจ็บปวดลงได้

แพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยทำการฝึกกายบริหารในท่าต่าง ๆ ซึ่งควรทำเป็นประจำทุกวัน จะช่วยให้ข้อทุเลาความฝืดและเคลื่อนไหวได้ดีขึ้น

นอกจากนี้ผู้ป่วยควรหาเวลาพักผ่อน สลับกับการทำงาน หรือการออกกำลังกายเป็นพัก ๆ

ในรายที่เป็นรุนแรง อาจต้องนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาลนานเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน และอาจต้องเข้าเฝือกเพื่อให้ข้อที่ปวดได้พักอย่างเต็มที่

ถ้าให้ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ไม่ได้ผล อาจต้องให้สเตียรอยด์ เพื่อลดการอักเสบ แต่จะให้กินเป็นระยะสั้น

นอกจากนี้ แพทย์จะพิจารณาให้ยากลุ่ม Disease-modifying antirheumatic drugs (DMARDs) ที่ช่วยชะลอความรุนแรงของโรค และป้องกันภาวะข้อถูกทำลาย เช่น ไฮดรอกซีคลอโรควีน (hydroxychloroquine), เมโทเทรกเซต (methotrexate), ซัลฟาซาลาซีน (sulfasalazine), ไซโคลสปอริน (cyclosporin), เลฟลูโนไมด์ (leflunomide) เป็นต้น ซึ่งมักจะได้ผลค่อนข้างดี และช่วยให้โรคมีระยะสงบ ไม่มีอาการ (remission) ไปได้

หากไม่ได้ผล แพทย์อาจให้ยาต้านการอักเสบกลุ่มใหม่ ๆ (เช่น etanercept, infliximab, rituximab, baricitinib, tofacitinib) ซึ่งมักให้ร่วมกับเมโทเทรกเซต (methotrexate)

ในรายที่รักษาด้วยยาไม่ได้ผล และข้อถูกทำลายผิดรูปผิดร่าง ใช้การไม่ได้ แพทย์จะพิจารณาทำการผ่าตัดแก้ไข รวมทั้งการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเทียม (joint replacement) เพื่อให้กลับมาใช้การได้


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการปวดข้อและข้อแข็ง (ขยับลำบาก กำมือลำบาก) ซึ่งมักจะเป็นมากในช่วงตื่นนอนหรือตอนเช้า หรือมีอาการปวดข้อนิ้วมือทุกข้อพร้อมกันและคล้ายคลึงกันทั้ง 2 ข้าง  ข้อนิ้วมือบวมเหมือนรูปกระสวย หรือมีอาการอักเสบของข้อเพียง 1 ข้อ หรือไม่กี่ข้อ ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ 
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    หมั่นบริหารข้อตามคำแนะนำของแพทย์ เช่น ขยับข้อต่าง ๆ อย่างช้า ๆ ท่าละ 10 ครั้ง ทำซ้ำทุก 1-2 ชั่วโมง, ใช้น้ำอุ่นจัด ๆ ประคบ, แช่หรืออาบน้ำอุ่น
    ลดน้ำหนักถ้ามีภาวะน้ำหนักเกินหรืออ้วน
    ออกกำลังกายที่ไม่รุนแรง เช่น การเดินเร็ว ว่ายน้ำ รำมวยจีน เป็นต้น
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน ถ้ากินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา (เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ถ่ายอุจจาระดำ ท้องเดิน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ) ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด

การป้องกัน

ยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผล เนื่องจากโรคนี้ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด

ควรป้องกันไม่ให้โรคลุกลาม โดยการไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจรักษาแต่เนิ่น ๆ เมื่อสังเกตว่ามีอาการที่น่าสงสัย

ข้อแนะนำ

1. โรคนี้มีระยะสงบ (ไม่มีอาการ) และอาการข้ออักเสบกำเริบสลับกันไป ส่วนน้อยที่อาจหายขาด และส่วนน้อยที่จะเป็นรุนแรงเกิดข้อพิการในเวลารวดเร็ว ผู้ป่วยควรติดตามการรักษากับแพทย์อย่างต่อเนื่อง การใช้ยา การรักษาทางกายภาพบำบัด การกำหนดเวลาพักผ่อน ทำงาน และออกกำลังกายให้พอเหมาะ จะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถทำงานได้เป็นปกติส่วนใหญ่

2. หัวใจของการรักษาโรคอยู่ที่การปฏิบัติตัวของผู้ป่วยเป็นสำคัญ กล่าวคือ จะต้องพยายามเคลื่อนไหวข้อและฝึกกายบริหารเป็นประจำทุกวัน อย่าอยู่นิ่ง ๆ เพราะยิ่งอยู่นิ่งข้อยิ่งฝืดแข็ง และขยับยากยิ่งขึ้น

3. ผู้ป่วยไม่ควรซื้อยาชุดกินเอง เพราะถึงแม้จะช่วยให้อาการทุเลาได้ แต่ก็อาจเกิดโทษจากยาสเตียรอยด์ หรือยาอันตรายอื่น ๆ ที่ผสมอยู่ในยาชุด

4. เนื่องจากยาที่ใช้รักษาโรคนี้ส่วนใหญ่มีผลข้างเคียงในลักษณะต่าง ๆ กัน ผู้ป่วยควรขอคำแนะนำจากแพทย์หรือเภสัชกรเกี่ยวกับการใช้ยาและผลข้างเคียงของยาที่ใช้ หากมีอาการที่สงสัยว่าเกิดจากผลข้างเคียง (เช่น ปวดแสบ ปวดจุกแน่นท้อง ถ่ายอุจจาระดำ เป็นไข้ หรือเป็นโรคติดเชื้อบ่อย) เป็นต้น ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด

5. ชาวบ้านอาจมีความสับสนในคำศัพท์ต่าง ๆ ที่ใช้เรียกเกี่ยวกับอาการปวดข้อ เช่น คำว่า รูมาติสซั่ม (rheumatism) ซึ่งหมายถึงภาวะต่าง ๆ ที่ทำให้มีอาการเจ็บปวด ปวดเมื่อย หรือปวดล้าของข้อ เส้นเอ็นหรือกล้ามเนื้อ ดังนั้นจึงเป็นคำที่ใช้เรียกอาการปวดข้อ ปวดเส้นเอ็นและปวดเมื่อยกล้ามเนื้อโดยรวม ๆ ซึ่งสามารถแบ่งแยกสาเหตุได้มากมาย (ตรวจอาการปวดข้อ) ดังนั้น รูมาติสซั่ม (โรคปวดข้อ) จึงอาจมีสาเหตุจากข้อเสื่อม โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ ไข้รูมาติก โรคเกาต์ และอื่น ๆ ไม่ได้หมายถึงโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์โดยเฉพาะ

15
money expo: 3 ทางเลือกของคนอยากเป็นเจ้าของบ้าน ทำแบบนี้ปิดหนี้ได้เร็ว

ที่ผ่านมา ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% ต่อปี เป็น 0.75% ต่อปี ซึ่งเมื่อเข้าสู่ภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น ในฝั่งของอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อก็จะถูกปรับเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

ดังนั้นการจะเป็นเจ้าของบ้านสักหนึ่งหลัง นอกจากที่จะต้องผ่อนกันในระยะยาว ที่อาจจะนานถึง 30 ปีแล้ว เมื่ออยู่ในช่วงภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อที่ถูกปรับเพิ่มขึ้น ทำให้คนที่ต้องผ่อนสินเชื่อต้องแบกรับภาระดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นไปอีก เช่น จากเดิมที่จ่ายค่าบ้านเดือนละ 10,000 บาท อาจจะถูกตัดเป็นส่วนของเงินต้น 6,000 บาท ดอกเบี้ย 4,000 บาท พอดอกเบี้ยถูกปรับขึ้นไปอีก การจ่ายชำระหนี้ในแต่ละเดือนก็จะถูกปรับในส่วนของดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น ทำให้ตัดเงินต้นได้น้อยลงนั่นเองค่ะ

สำหรับคนที่อยากมีบ้านเป็นของตัวเอง หรือกำลังคิดจะขอ "สินเชื่อที่อยู่อาศัย" ก็ควรจะต้องมีการวางแผน และเตรียมพร้อมเพื่อปรับตัวรับกับภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นในอนาคต ซึ่งหากต้องการปิดจบหนี้บ้านได้เร็วขึ้น จะทำอย่างไรได้บ้าง วันนี้เรามี 3 ทางเลือกของคนอยากเป็นเจ้าของบ้านเร็วๆ มาฝากกัน ไม่ว่าจะเป็น "การรีไฟแนนซ์ (Refinance)", "การขอลดดอกเบี้ย (Retention)" หรือ "การจ่ายเงินเพิ่มแบบโป๊ะ" รับรองว่าถ้าทำได้แบบนี้ปิดหนี้ได้เร็วแน่นอน
 

1. รีไฟแนนซ์บ้าน (Refinance)
 
การรีไฟแนนซ์บ้าน คือ การขอยื่นกู้สินเชื่อบ้านกับธนาคารแห่งใหม่ที่คิดดอกเบี้ยถูกกว่าธนาคารเดิม เพื่อจะได้ผ่อนชำระดอกเบี้ยเงินกู้ในอัตราที่ถูกลง หรืออาจปรับเพิ่ม หรือลดระยะเวลาผ่อนชำระ เพื่อช่วยลดรายจ่ายในแต่ละเดือนลงได้อีกด้วย ซึ่งการรีไฟแนนซ์บ้านจะยังคงใช้บ้านเป็นหลักประกันเหมือนเดิม

โดยปกติธนาคารจะมีข้อกำหนดว่า ลูกค้าสินเชื่อบ้าน ต้องผ่อนชำระสินเชื่อกับธนาคารมาแล้ว 3 ปี ถึงจะทำการรีไฟแนนซ์ได้ ซึ่งก็มักจะเป็นช่วงที่อัตราดอกเบี้ยเข้าสู่อัตราดอกเบี้ยลอยตัวพอดี หากเราไม่รีไฟแนนซ์ เราก็จะต้องเสียดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น ตัวอย่างเช่น

จากตัวอย่างตารางอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านของธนาคารทหารไทยธนชาต ที่เมื่อเข้าสู่ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ยจะถูกปรับเป็นอัตราดอกเบี้ยแบบลอยตัวซึ่งจะสูงกว่าในช่วง 3 ปีแรก ซึ่งจากตัวอย่างกรณีลูกค้าเลือกทางเลือกที่ 1 อัตราดอกเบี้ยหลังจากปีที่ 3 จะอยู่ที่ (MRR* - 1.63%) = 4.65% ต่อปี (*อัตราดอกเบี้ย MRR ของธนาคารทหารไทยธนชาต เท่ากับ 6.28% ต่อปี ตามประกาศฉบับล่าสุด มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 17 มิ.ย. 64)
 
ส่วนอัตราดอกเบี้ยสำหรับการรีไฟแนนซ์ก็จะเป็นเหมือนการขอสินเชื่อใหม่กับต่างธนาคาร ที่ใช้หลักประกันเดิม และได้รับอัตราดอกเบี้ยโปรโมชั่นใหม่ (ซึ่งจะถูกลงจากอัตราดอกเบี้ยเดิม) ตัวอย่างเช่น
 
จากตัวอย่างเป็นอัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ของธนาคารกรุงศรีอยุธยา กรณีลูกค้าเลือกทางเลือกที่ 1 อัตราดอกเบี้ยในปีที่ 1 ก็จะอยู่ที่ 2.30% ต่อปีค่ะ ซึ่งน้อยกว่าอัตราดอกเบี้ยแบบลอยตัวจากธนาคารเดิม (ตามตัวอย่างข้างต้น)
 
ซึ่งการรีไฟแนนซ์โดยปกติไม่ว่าจะเป็นจากธนาคารไหน ไปยังธนาคารไหน ก็จะได้อัตราดอกเบี้ยที่ถูกลงเช่นนี้ค่ะ แต่การจะตัดสินใจเลือกรีไฟแนนซ์กับธนาคารใดก็อาจมีปัจจัยอื่นๆ นอกจากอัตราดอกเบี้ยประกอบด้วย เช่น ความสะดวกของผู้ขอสินเชื่อเอง โปรโมชันฟรีค่าธรรมเนียมการจัดการสินเชื่อ อากรแสตมป์ การทำประกันสินเชื่อ หรือไม่ทำประกันสินเชื่อ เป็นต้น
 
2. การขอลดดอกเบี้ยจากธนาคารเดิม หรือ Retention
 
การขอลดดอกเบี้ยจากธนาคารเดือน หรือ Retention เป็นการทำธุรกรรมกับธนาคารเดิมที่มีข้อมูลของผู้ขอสินเชื่ออยู่แล้ว ทั้งในเรื่องของเอกสารสัญญา หรือแม้แต่ประวัติการชำระหนี้ การพิจารณาอนุมัติก็จะใช้ข้อมูลที่ธนาคารมีอยู่ ซึ่งมีข้อดี คือ
 
สะดวก เพราะเป็นการขอสินเชื่อจากธนาคารเดิม
ประหยัดเวลาในเรื่องของการเตรียมเอกสาร (เพราะธนาคารเดิมจะมีข้อมูลของผู้ขอสินเชื่ออยู่แล้ว)
อนุมัติเร็ว
ค่าธรรมเนียมน้อยกว่าการรีไฟแนนซ์ (บางธนาคารมีค่าใช้จ่ายเฉพาะในส่วนของค่าธรรมเนียมสินเชื่อเท่านั้น)
แต่อัตราดอกเบี้ยที่ขอลดอาจลดลงเพียงเล็กน้อย ดังนั้น วิธีการขอลดดอกเบี้ยจากธนาคารเดิม หรือ Retention จึงเหมาะสำหรับคนที่ไม่ชอบความยุ่งยาก และมียอดเงินต้นคงเหลือไม่มากนัก เช่น บางธนาคารอาจมีข้อกำหนดสำหรับการรีไฟแนนซ์ว่าจะต้องมียอดเงินต้นคงเหลือไม่ต่ำกว่า 1 ล้านบาท* ดังนั้นหากเงินต้นเหลือน้อยว่า 1 ล้านบาท และไม่สามารถรีไฟแนนซ์ได้แล้ว วิธีการขอลดดอกเบี้ยก็จะเป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยให้สามารถผ่อนบ้านหมดได้ไวขึ้นนะคะ
*เงื่อนไขของการขอรีไฟแนนซ์ (เช่น ยอดเงินต้นคงเหลือต้องเป็นเท่าไหร่) โปรดสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจากธนาคารอีกครั้ง
 

3. การจ่ายเงินเพิ่มแบบโป๊ะ
 
การจ่ายเงินเพิ่มแบบโป๊ะ โดยความหมายคือ การจ่ายเงินเพิ่มจากยอดที่ต้องจ่ายจริง มีอยู่ 2 รูปแบบคือ การโป๊ะแบบรายเดือน และการโป๊ะเงินต้นเป็นครั้งๆ ซึ่งทั้ง 2 วิธี ก็ช่วยให้ผู้กู้สามารถลดยอดเงินต้นได้เร็วขึ้น ภาระดอกเบี้ยก็จะลดน้อยลง* สามารถลดระยะเวลาการผ่อนชำระ และช่วยให้สามารถเป็นเจ้าของบ้านได้ไวขึ้นอีกด้วยค่ะ
(*โดยปกติแล้วธนาคารจะคิดดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อที่อยู่อาศัยแบบลดต้นลดดอก คือ หากจ่ายเงินเพื่อตัดเงินต้นได้มากเท่าไหร่ ดอกเบี้ยก็จะยิ่งลดตามไปด้วย)
 
ตัวอย่างการจ่ายค่าบ้านแบบโป๊ะเพิ่มทั้ง 2 รูปแบบ (กรณีที่จ่ายชำระหนี้ตรงตามวันที่ธนาคารกำหนด)
 
เงินต้นคงเหลือ 1,000,0000 บาทอัตราดอกเบี้ย 2.00% ต่อปี
ธนาคารกำหนดให้ต้องผ่อนชำระต่อเดือน 10,000 บาท
ผู้กู้โป๊ะเพิ่มเดือนละ 5,000 บาท
โป๊ะเพิ่ม 2 ครั้งในเดือน 6 และเดือน 12 จำนวนครั้งละ 50,000 บาท
 
สรุปในระยะเวลา 1 ปี
สำหรับการโปะหนี้รายเดือน เพิ่มอีกเดือนละ 5,000 บาท ช่วยให้เงินต้นลดลงไปได้ถึง (907,323 - 851,869 = 55,454 บาท)
สำหรับการโป๊ะหนี้ครั้งละ 50,000 บาท จำนวน 2 ครั้ง ช่วยให้เงินต้นลดลงไปได้ถึง (907,323 - 806,828 = 100,495 บาท)
ซึ่งจะเห็นว่าไม่ว่าจะเป็นการทยอยโป๊ะหนี้แบบรายเดือน หรือการโป๊ะเพิ่มเป็นครั้งๆ ก็ทำให้ยอดเงินต้นลดลงไปได้มากเช่นกัน ซึ่งการคิดดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อที่อยู่อาศัย เป็นการคิดดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก ดังนั้น ยิ่งเราสามารถตัดเงินต้นได้มากเท่าไหร่ เราก็จะเหลือภาระดอกเบี้ยน้อยลงไปเรื่อยๆ ซึ่งก็จะทำให้เราสามารถปิดจบหนี้บ้านได้เร็วยิ่งขึ้นนั่นเองค่ะ

หน้า: [1] 2 3 ... 35
ลงประกาศฟรี โฆษณาฟรี ลงประกาศขายบ้านฟรี ลงประกาศขายบ้าน ขายที่ดิน ขายคอนโด ขายรถ สินค้าอุตสาหกรรม อาหารเสริม เครื่องสำอางค์ แนะนำสถานที่ท่องเที่ยว โปรโมทสินค้าฟรี เว็บประกาศฟรี ติดอันดับ Google