1
สินค้า บริการอื่น ๆ / Doctor At Home: การชักในทารกแรกเกิด (Neonatal Seizures)
« เมื่อ: 27 ตุลาคม 2025, 14:01:51 pm »
Doctor At Home: การชักในทารกแรกเกิด (Neonatal Seizures)
การชักในทารกแรกเกิด (Neonatal Seizures) คืออาการชักที่เกิดขึ้นในช่วง 28 วันแรกหลังคลอด เป็นภาวะทางการแพทย์ที่ร้ายแรงและจำเป็นต้องได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างเร่งด่วน เนื่องจากอาจส่งผลกระทบต่อพัฒนาการของสมองในระยะยาว
การชักในทารกแรกเกิดมักมีลักษณะที่แตกต่างจากเด็กโตหรือผู้ใหญ่ ทำให้สังเกตได้ยาก
1. อาการชักในทารกแรกเกิดที่พบบ่อย (อาจไม่ชัดเจน)
เนื่องจากสมองของทารกยังพัฒนาไม่สมบูรณ์ การชักจึงมักแสดงออกในรูปแบบที่ไม่ชัดเจน หรือเป็นเพียงการเคลื่อนไหวเล็ก ๆ น้อย ๆ (Subtle Seizures) ซึ่งอาจถูกเข้าใจผิดว่าเป็นการเคลื่อนไหวปกติของทารก:
การเคลื่อนไหวใบหน้า/ช่องปาก:
การดูด (Sucking), การเคี้ยว, การเลียปาก หรือการเคลื่อนไหวของลิ้นซ้ำ ๆ
การกรอกตา หรือตาเหลือกค้างอยู่ด้านบน
การเคลื่อนไหวแขนขา:
การกระตุกเบา ๆ เป็นจังหวะของนิ้วมือ นิ้วเท้า หรือแขนขาข้างใดข้างหนึ่ง
การเหยียดเกร็งช้า ๆ
อาการอื่น ๆ:
การหยุดหายใจชั่วคราว (Apnea) โดยเฉพาะในทารกคลอดก่อนกำหนด
การเปลี่ยนแปลงของอัตราการเต้นของหัวใจ
2. สาเหตุหลักของการชักในทารกแรกเกิด
สาเหตุของการชักในทารกแรกเกิดมักเป็นภาวะที่รุนแรงและเกี่ยวกับสมองโดยตรง โดยเฉพาะในวันแรก ๆ หลังคลอด:
กลุ่มสาเหตุ ตัวอย่างภาวะ
ภาวะขาดออกซิเจนและเลือด ภาวะสมองขาดออกซิเจนและเลือดระหว่างการคลอด (Hypoxic-Ischemic Encephalopathy: HIE) เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดและมีความสำคัญ
ความผิดปกติของเมตาบอลิซึม ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemia), ภาวะแคลเซียมในเลือดต่ำ (Hypocalcemia), ภาวะโซเดียมในเลือดผิดปกติ
การติดเชื้อ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ (Meningitis) หรือสมองอักเสบจากการติดเชื้อแบคทีเรียหรือไวรัส (เช่น HSV)
ความผิดปกติของโครงสร้างสมอง ความพิการแต่กำเนิดของสมอง (Congenital Brain Malformation) หรือภาวะเลือดออกในสมอง (Intracranial Hemorrhage)
โรคทางพันธุกรรม ความผิดปกติทางพันธุกรรมบางชนิดที่ส่งผลต่อการทำงานของสมอง
3. การรักษาและการดูแลเบื้องต้น
การชักในทารกแรกเกิดถือเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ หากสงสัยว่าทารกมีอาการชัก ต้องรีบนำส่งโรงพยาบาลทันที
การวินิจฉัย: แพทย์จะทำการตรวจร่างกาย ตรวจเลือดเพื่อหาสาเหตุทางเมตาบอลิซึม (เช่น น้ำตาล, เกลือแร่) และอาจตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง (EEG) รวมถึงการถ่ายภาพสมอง (CT scan หรือ MRI)
การรักษา:
รักษาตามสาเหตุ: การแก้ไขสาเหตุที่ทำให้เกิดการชักเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เช่น การให้น้ำตาลกลูโคสหากมีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ, การให้ยาปฏิชีวนะหากมีการติดเชื้อ
การให้ยากันชัก (Anticonvulsants): เพื่อควบคุมอาการชัก เช่น Phenobarbital หรือ Levetiracetam
สิ่งที่ผู้ปกครองควรทำขณะทารกมีอาการชัก (ก่อนถึงมือแพทย์):
1. จับเวลา: สังเกตและจับเวลาว่าอาการชักนานกี่นาที และมีลักษณะอาการอย่างไร
2. จัดท่าให้ปลอดภัย: วางทารกในท่าที่ปลอดภัย (เช่น ตะแคงตัว) เพื่อป้องกันการสำลัก
3. ห้ามสอดสิ่งใดเข้าปาก: อย่าพยายามสอดสิ่งใดเข้าไปในปากทารก
4. รีบนำส่งโรงพยาบาล: พาไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุด หรือโทรเรียกรถพยาบาลฉุกเฉิน
การรักษาที่รวดเร็วและตรงจุดจะช่วยลดความเสียหายต่อสมองและช่วยให้ทารกมีโอกาสพัฒนาการได้ตามปกติมากขึ้นค่ะ
การชักในทารกแรกเกิด (Neonatal Seizures) คืออาการชักที่เกิดขึ้นในช่วง 28 วันแรกหลังคลอด เป็นภาวะทางการแพทย์ที่ร้ายแรงและจำเป็นต้องได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างเร่งด่วน เนื่องจากอาจส่งผลกระทบต่อพัฒนาการของสมองในระยะยาว
การชักในทารกแรกเกิดมักมีลักษณะที่แตกต่างจากเด็กโตหรือผู้ใหญ่ ทำให้สังเกตได้ยาก
1. อาการชักในทารกแรกเกิดที่พบบ่อย (อาจไม่ชัดเจน)
เนื่องจากสมองของทารกยังพัฒนาไม่สมบูรณ์ การชักจึงมักแสดงออกในรูปแบบที่ไม่ชัดเจน หรือเป็นเพียงการเคลื่อนไหวเล็ก ๆ น้อย ๆ (Subtle Seizures) ซึ่งอาจถูกเข้าใจผิดว่าเป็นการเคลื่อนไหวปกติของทารก:
การเคลื่อนไหวใบหน้า/ช่องปาก:
การดูด (Sucking), การเคี้ยว, การเลียปาก หรือการเคลื่อนไหวของลิ้นซ้ำ ๆ
การกรอกตา หรือตาเหลือกค้างอยู่ด้านบน
การเคลื่อนไหวแขนขา:
การกระตุกเบา ๆ เป็นจังหวะของนิ้วมือ นิ้วเท้า หรือแขนขาข้างใดข้างหนึ่ง
การเหยียดเกร็งช้า ๆ
อาการอื่น ๆ:
การหยุดหายใจชั่วคราว (Apnea) โดยเฉพาะในทารกคลอดก่อนกำหนด
การเปลี่ยนแปลงของอัตราการเต้นของหัวใจ
2. สาเหตุหลักของการชักในทารกแรกเกิด
สาเหตุของการชักในทารกแรกเกิดมักเป็นภาวะที่รุนแรงและเกี่ยวกับสมองโดยตรง โดยเฉพาะในวันแรก ๆ หลังคลอด:
กลุ่มสาเหตุ ตัวอย่างภาวะ
ภาวะขาดออกซิเจนและเลือด ภาวะสมองขาดออกซิเจนและเลือดระหว่างการคลอด (Hypoxic-Ischemic Encephalopathy: HIE) เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดและมีความสำคัญ
ความผิดปกติของเมตาบอลิซึม ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemia), ภาวะแคลเซียมในเลือดต่ำ (Hypocalcemia), ภาวะโซเดียมในเลือดผิดปกติ
การติดเชื้อ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ (Meningitis) หรือสมองอักเสบจากการติดเชื้อแบคทีเรียหรือไวรัส (เช่น HSV)
ความผิดปกติของโครงสร้างสมอง ความพิการแต่กำเนิดของสมอง (Congenital Brain Malformation) หรือภาวะเลือดออกในสมอง (Intracranial Hemorrhage)
โรคทางพันธุกรรม ความผิดปกติทางพันธุกรรมบางชนิดที่ส่งผลต่อการทำงานของสมอง
3. การรักษาและการดูแลเบื้องต้น
การชักในทารกแรกเกิดถือเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ หากสงสัยว่าทารกมีอาการชัก ต้องรีบนำส่งโรงพยาบาลทันที
การวินิจฉัย: แพทย์จะทำการตรวจร่างกาย ตรวจเลือดเพื่อหาสาเหตุทางเมตาบอลิซึม (เช่น น้ำตาล, เกลือแร่) และอาจตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง (EEG) รวมถึงการถ่ายภาพสมอง (CT scan หรือ MRI)
การรักษา:
รักษาตามสาเหตุ: การแก้ไขสาเหตุที่ทำให้เกิดการชักเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เช่น การให้น้ำตาลกลูโคสหากมีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ, การให้ยาปฏิชีวนะหากมีการติดเชื้อ
การให้ยากันชัก (Anticonvulsants): เพื่อควบคุมอาการชัก เช่น Phenobarbital หรือ Levetiracetam
สิ่งที่ผู้ปกครองควรทำขณะทารกมีอาการชัก (ก่อนถึงมือแพทย์):
1. จับเวลา: สังเกตและจับเวลาว่าอาการชักนานกี่นาที และมีลักษณะอาการอย่างไร
2. จัดท่าให้ปลอดภัย: วางทารกในท่าที่ปลอดภัย (เช่น ตะแคงตัว) เพื่อป้องกันการสำลัก
3. ห้ามสอดสิ่งใดเข้าปาก: อย่าพยายามสอดสิ่งใดเข้าไปในปากทารก
4. รีบนำส่งโรงพยาบาล: พาไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุด หรือโทรเรียกรถพยาบาลฉุกเฉิน
การรักษาที่รวดเร็วและตรงจุดจะช่วยลดความเสียหายต่อสมองและช่วยให้ทารกมีโอกาสพัฒนาการได้ตามปกติมากขึ้นค่ะ
